เด็กไทยเกิดปี 2567 มีจำนวน 461,421 คน1 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง 5 แสนคนต่อปี แนวโน้มจำนวนเด็กเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่ให้มี “ลูกเพื่อชาติ”
สถิติจำนวนการเกิดของประเทศไทย มกราคม 2567 ถึงเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
เดือน | ชาย | หญิง | รวม |
---|---|---|---|
มกราคม | 20,676 | 19,559 | 40,235 |
กุมภาพันธ์ | 17,624 | 16,462 | 34,086 |
มีนาคม | 19,037 | 17,677 | 36,714 |
เมษายน | 20,146 | 18,570 | 38,716 |
พฤษภาคม | 19,711 | 18,538 | 38,249 |
มิถุนายน | 17,416 | 16,517 | 33,933 |
กรกฎาคม | 20,242 | 18,802 | 39,044 |
สิงหาคม | 20,684 | 19,625 | 40,309 |
กันยายน | 21,898 | 20,367 | 42,265 |
ตุลาคม | 22,201 | 20,815 | 43,016 |
พฤศจิกายน | 20,166 | 19,059 | 39,225 |
ธันวาคม | 18,269 | 17,360 | 35,629 |
รวม | 238,070 | 223,351 | 461,421 |
แหล่งข้อมูล: สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย1
การติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของประชากรมาอย่างต่อเนื่องของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า ประเทศไทยเคยมีเด็กเกิดเกิน 1 ล้านคนต่อปีในช่วงปี 2506-2526 และเคยมีเด็กเกิดจำนวนสูงสุดในปี 2514 มากถึง 1,221,228 คน ตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดในประเทศไทยได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนมีจำนวนเด็กเกิดต่ำ 6 แสนคนตั้งแต่ปี 2562 จำนวนเด็กเกิดได้ลดลงต่ำลงมาอีก จนในปี 2567 เด็กเกิดในประเทศไทยได้ลดลงมาต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นปีแรก
รูป 1 จำนวนเด็กเกิด พ.ศ. 2492-2567
สถานการณ์เด็กเกิดน้อยเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากร โดยจะเร่งการสูงวัยของประชากรไทยให้เร็วขึ้น จำนวนเด็กเกิดที่ลดลงอย่างมากนี้ ทำให้อัตราส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้น ประเทศไทยได้กลายเป็นสังคมสูงวัยเมื่อปี 2548 คือมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด จากนั้นประเทศไทยใช้เวลาอีกเพียงไม่ถึง 20 ปี จนกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2567 (อัตราส่วนผู้สูงอายุเกินกว่า 20 %ของประชากรทั้งหมด)
สถาบันวิจัยประชากรและสังคมได้สำรวจความเห็นประชาชนไทยจำนวน 1,042 คน เพื่อสอบถามความคิดเห็นในประเด็น “สถานการณ์เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงอายุ” ในช่วงเดือนพฤศจิกายน - เดือนธันวาคม 2567 พบว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงเพียงประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เห็นด้วยว่าจะมีลูกถ้าอยู่ในสถานะที่พร้อมจะมีลูก สัดส่วนผู้ชายตอบว่าจะมีลูกถ้าอยู่ในสถานะที่พร้อมมากกว่าผู้หญิง (ชาย 60% ต่อ หญิง 53%)
ประชาชนที่อยู่ในสถานะสมรส ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสำรวจทั้งหมด
แบบสำรวจถามด้วยว่า ถ้าท่านมีคู่รักหรือมีคู่แต่งงานแล้ว ยังมีสุขภาพแข็งแรง และอยู่ในวัยที่มีลูกได้
ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจมีลูกมีความแตกต่างกันระหว่างเจนเนอเรชัน โดยกลุ่มเจนเนอเรชัน X มีแนวโน้มที่จะมีลูกสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ในขณะที่เจนเนอเรชัน Y มีสัดส่วนความตั้งใจมีลูกต่ำที่สุด ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจดังกล่าว อาจรวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ค่านิยมของแต่ละช่วงวัย และปัจจัยทางสังคมอื่นๆ เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และความกังวลเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างการทำงานและการเลี้ยงดูบุตร
เครดิตภาพ: AI Generate by www.freepik.com
การที่ประชากรเพียง 1 ใน 3 ของผู้ที่อยู่ในสถานะสมรส (36%) ยืนยันว่าจะมีลูก อาจเป็นสัญญาณที่แสดงถึงแนวโน้มอัตราเกิดที่ลดลง ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ควรได้รับการพิจารณา หากรัฐบาลต้องการสนับสนุนให้มีจำนวนเด็กเกิดเพิ่มขึ้น
กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พยายามผลักดันให้มีนโยบายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดไปจนถึงอายุ 6 ปีแบบถ้วนหน้า2 แทนการสงเคราะห์เฉพาะผู้ปกครองในครัวเรือนรายได้น้อย (ครัวเรือนที่สมาชิกมีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท ต่อคน ต่อปี) ที่ปัจจุบันได้รับเงินอุดหนุนฯ ในอัตรา 600 บาท ต่อคนต่อเดือน ส่วนผู้ประกันตนจะได้รับเงินอุดหนุนตามมาตรา (ดูตาราง)
เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี | จำนวนเงินที่ได้รับ |
---|---|
ผู้ประกันตน กองทุนประกันสังคม ม.33 ม.39 | 800 บาทต่อคนต่อเดือน |
ผู้ประกันตน กองทุนประกันสังคม ม.40 | 200 บาทต่อคนต่อเดือน |
ครอบครัวที่มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) |
600 บาทต่อคนต่อเดือน |
ผลการสำรวจความเห็นประชาชนไทยพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้น (49%) ที่เห็นด้วยว่าเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดจะช่วยส่งเสริมให้คนไทยมีลูกมากขึ้น ข้อมูลนี้สะท้อนให้เห็นว่า เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดเพียงอย่างเดียวไม่น่าจะทำให้คนไทยมีลูกเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล
การเกิดที่วัดด้วยอัตราเจริญพันธุ์รวม ซึ่งหมายถึง จำนวนลูกเฉลี่ยที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีตลอดวัยเจริญพันธุ์ของประเทศต่างๆ ทั่วโลกเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ต่ำกว่า 2.1 คน กล่าวคือ จำนวนเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่าระดับทดแทนพ่อและแม่ ปัจจุบัน ประเทศในเอเชีย เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน รวมทั้งประเทศไทยมีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำมาก
อัตราเจริญพันธุ์รวม (TFR) พ.ศ. 2567
เกาหลีใต้ | 0.72 |
สิงคโปร์ | 0.94 |
ประเทศไทย | 1.03* |
จีน | 1.00 |
อิตาลี | 1.20 |
ญี่ปุ่น | 1.21 |
สวีเดน | 1.43 |
เยอรมนี | 1.44 |
อังกฤษ | 1.56 |
สหรัฐอเมริกา | 1.62 |
หมายเหตุ: *คาดประมาณโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
รัฐบาลในหลายประเทศมีความพยายามจะสนับสนุนให้ประชากรของตนมีลูกเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้อัตราเจริญพันธุ์รวมของประเทศเพิ่มขึ้นได้มากนัก ตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา สิงคโปร์ได้ดำเนินการมาตรการทางภาษีและเงินอุดหนุนหรือสมทบ นโยบายควบคุมและส่งเสริมการเกิดพิจารณาตามลำดับที่บุตร บริการหาคู่ นอกจากนี้ รัฐบาลยังตระหนักถึงสภาพแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจมีบุตรและการดูแลบุตร จึงสนับสนุนโครงการสมดุลชีวิตกับงาน (work-life balance) การเพิ่มจำนวนและคุณภาพของสถานเลี้ยงเด็ก
อัตราเจริญพันธุ์รวมของสิงคโปร์ลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีมาตรการส่งเสริมการเกิดหลายอย่าง แต่อัตราเจริญพันธุ์รวมของสิงคโปร์ก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเหลือเพียง 0.94 เท่านั้น ทั้งนี้เป็นเพราะความกดดันทางเศรษฐกิจ ภาวะความเครียด วิถีชีวิตที่เร่งรีบ การเสียโอกาสการทำงานของแม่ และที่สำคัญคือค่าครองชีพที่สูงขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงมากจนความช่วยเหลือที่รัฐบาลสนับสนุนไม่เพียงพอ3
นอกจากนี้ เกาหลีใต้เป็นอีกประเทศที่มีอัตราเจริญพันธุ์รวมต่ำที่สุดในโลก (0.72)4 และได้กลายเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (super-aged society) อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งหมด สถานการณ์ทางประชากรนี้ทำให้ประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ได้เสนอแนวคิดในการจัดตั้งกระทรวงใหม่เพื่อการวางแผนและรับมือกับวิกฤตประชากรที่กำลังทวีความรุนแรง5
จากข้อมูลที่สำรวจ “สถานการณ์เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงอายุ” ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความท้าทายในการมีเด็กเกิดน้อยที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรของประเทศ แต่การตัดสินใจที่จะมีลูกยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น สถานภาพทางเศรษฐกิจ ความพร้อมทางสุขภาพ และบทบาททางสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีความลังเลมากกว่า
แม้จะมีนโยบายส่งเสริมการมีบุตร แต่ยังจำเป็นต้องมีมาตรการที่สอดคล้องกับความต้องการและข้อกังวลของประชาชน เช่น การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู การเพิ่มสวัสดิการสำหรับครอบครัว และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเลี้ยงดูบุตรอย่างสมดุล การลดช่องว่างระหว่างความตระหนักรู้และการลงมือปฏิบัติจริงจะเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับโครงสร้างประชากรไทย
ติดตามการรายงานสถานการณ์ประชากรไทยและผลสำรวจความเห็นประชากรไทยต่อนโยบายประชากรในประเด็น “สถานการณ์เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงอายุ” ได้จากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2568 ได้ทาง facebook https://www.facebook.com/IPSRMAHIDOLUNIVERSITY
อ้างอิง