การมีกิจกรรมทางกายเพียงพอมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง และโรคเบาหวาน รวมถึงลดอาการซึมเศร้าและภาวะสมองเสื่อม1 มีประโยชน์ต่อสุขภาพจิต คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีเพิ่มขึ้น2 และการมีกิจกรรมทางกายเพียงพอของเด็กและเยาวชนมีประโยชน์ในการเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย สุขภาพกายและจิตใจ และลดความอ้วนในเด็กและเยาวชน อีกทั้งสามารถช่วยเสริมความสามารถในการรับรู้และผลการเรียน3ซึ่งประโยชน์ต่อสุขภาพเหล่านี้มีผลต่อเนื่องไปถึงวัยผู้ใหญ่ อีกทั้งการมีกิจกรรมทางกายมีความสัมพันธ์เชิงบวกต่อการพัฒนาทางความคิดและพฤติกรรมทางสังคม4 แม้ว่าการมีกิจกรรมทางกายเพียงพอจะมีความสำคัญต่อสุขภาพ แต่สถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายทั่วโลกยังคงต้องได้รับการส่งเสริมและการสนับสนุนอย่างทั่วถึงจากภาครัฐและสังคม
ที่ผ่านมาทุกประเทศทั่วโลกเผชิญกับปัญหาการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรวัยเด็กและเยาวชนอายุ 5-17 ปี ซึ่งมีการประมาณการว่าเยาวชนทั่วโลก (อายุ 11-17 ปี) มีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอว่ามากกว่าร้อยละ 80 ในปี 2016 [4] สำหรับประเทศไทยในตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ระดับการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอของเด็กและเยาวชนอยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอด โดยในปี 2566 นี้ ประชากรวัยเด็กและเยาวชนไทยมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอประมาณร้อยละ 78.65
ประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศในโลกที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย โดยมีแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับประชากรทุกกลุ่มวัย (พ.ศ.2561 – 2573) และแผนการส่งเสริมกิจกรรมทางกายสำหรับเด็กและเยาวชน (พ.ศ.2566 – 2573) ที่มุ่งเน้นเพิ่มระดับกิจกรมทางกายในกลุ่มเด็กและเยาวชนไทย เพื่อการบรรลุเป้าหมายของเด็กและเยาวชนอายุตั้งแต่ 5 - 17 ปี มีระดับกิจกรรมทางกายที่เพียงพอตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกไม่ต่ำกว่าร้อยละ 35 ดังนั้น การทำความเข้าใจบริบทรูปแบบการอยู่อาศัยและการมีส่วนร่วมเกี่ยวกับการมีกิจกรรมทางกายของเด็กและเยาวชนจะช่วยในการวางแผนกลยุทธ์การส่งเสริมกิจกรรมทางกายให้แก่เด็กและเยาวชนของภาครัฐและภาคประชาสังคม เพราะรูปแบบการอยู่อาศัยเกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ ความสัมพันธ์ การสนับสนุน การพึ่งพาอาศัยกันทั้งทางกายและจิตใจระหว่างสมาชิกในครัวเรือน
จากการสำรวจการมีกิจกรรมทางกายในเด็กและเยาวชนไทย พ.ศ. 2564 (Global Matrix 4.0) พบว่า เด็กและเยาวชนอายุ 5 – 17 ปี มีร้อยละของการมีกิจกรรมทางกายเพียงพอระดับปานกลางและระดับหนักได้อย่างน้อยเฉลี่ยวันละ 60 นาที (Overall physical activity) คิดเป็นร้อยละ 26.9 ทั้งนี้ โดยกิจกรรมทางกายระดับปานกลางเป็นกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวออกแรงและใช้พละกำลังของร่างกายในระดับปานกลาง ส่งผลให้การหายใจเร็วขึ้นจากระดับปกติจนรู้สึกได้ถึงความเหนื่อย แต่ยังไม่ได้ถึงกับมีอาการเหนื่อยหอบมีเหงื่อออกซึมเล็กน้อย ยังไม่ได้สามารถพูดเป็นประโยคสั้น ๆ ได้ในขณะปฏิบัติกิจกรรม ขณะที่กิจกรรมทางกายระดับหนักเป็นกิจกรรมทางกายที่มีการเคลื่อนไหวออกแรงและใช้พละกำลังของร่างกายอย่างหนัก ส่งผลให้มีการหายใจแรง อัตราการเต้นของหัวใจเต้นเร็วขึ้นจากปกติเป็นอย่างมาก จนทำให้รู้สึกเหนื่อยหอบ มีเหงื่อออกมากที่ระดับความหนักนี้จะไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ได้เพียงคำสั้น ๆ เท่านั้นเมื่อพิจารณารูปแบบการอยู่อาศัย พบว่า เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในครัวเรือนพ่อแม่ลูกคิดเป็นร้อยละ 37.2 รองลงมาคือ ครัวเรือนขยายร้อยละ 22.1 และครัวเรือนข้ามรุ่นร้อยละ 14.0 (ดังภาพที่ 1)
ที่มา: โครงการสำรวจการมีกิจกรรมทางกายในเด็กและเยาวชนไทย พ.ศ. 2564
ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างร้อยละการมีกิจกรรมทางกายเพียงพอกับรูปแบบการอยู่อาศัยของเด็กและเยาวชนพบว่า ครัวเรือนที่มีร้อยละของการมีกิจกรรมทางกายเพียงพอมากที่สุดคือ ครัวเรือนข้ามรุ่นร้อยละ 28.6 รองลงมาคือ ครัวเรือนขยายร้อยละ 27.0 ครัวเรือนพ่อแม่ลูกร้อยละ 25.8 และครัวเรือนพ่อ/แม่เลี้ยงเดียวร้อยละ 21.4 (ดังภาพที่ 2) ซึ่งจะเห็นได้ว่าเด็กและเยาวชนที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนพ่อ/แม่เลี้ยงเดียวและครัวเรือนข้ามรุ่นมีสัดส่วนของร้อยละการมีกิจกรรมทางกายเพียงพอที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับครัวเรือนพ่อแม่ลูก
ที่มา: โครงการสำรวจการมีกิจกรรมทางกายในเด็กและเยาวชนไทย พ.ศ. 2564
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาของเด็กและเยาวชนได้มีการทำกิจกรรมทางกายเคลื่อนไหวออกแรง วิ่งเล่น ออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬากับบุคคลใดบ้างนั้น พบว่า บุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมทางกาย 5 อันดับแรก ได้แก่ เพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่ที่ร้อยละ 44.1 รองลงมาคือ พี่น้องร้อยละ 39.0 เพื่อนต่างรุ่นร้อยละ 24.0 คนเดียวร้อยละ 19.6 และพ่อแม่ร้อยละ 14.6 ซึ่งผลการศึกษาในภาพรวมจะเห็นได้ว่า เพื่อนรุ่นเดียวกันและเพื่อนต่างรุ่นมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมทางกายมากที่สุด ขณะที่การมีกิจกรรมทางกายร่วมกับพี่น้องมีความสอดคล้องกับข้อมูลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์รูปแบบการอยู่อาศัยกับการมีกิจกรรมทางกาย เนื่องจากครัวเรือนพ่อแม่ลูกในการศึกษาครั้งนี้ส่วนใหญ่มีบุตรในครัวเรือนสองคน และบุตรในครัวเรือนมักมีกิจกรรมกับเพื่อนรุ่นเดียวกันและเพื่อนต่างรุ่นซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นในครัวเรือนขยายมากกว่ารูปแบบการอยู่อาศัยอื่น ๆ
ดังนั้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบการอยู่อาศัยมีความสัมพันธ์กับการมีกิจกรรมทางกายเพียงพอของเด็กและเยาวชนไทย ซึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมของสมาชิกในครัวเรือนและเพื่อน ๆ ในครัวเรือนพ่อแม่ลูกและครัวเรือนขยาย แต่ในครัวเรือนข้ามรุ่นและครัวเรือนเลี้ยงเดียวยังคงเป็นรูปแบบการอยู่อาศัยที่จะต้องได้รับการส่งเสริมในการมีกิจกรรมทางกาย และหนึ่งพื้นที่สำคัญที่จะช่วยให้เด็กและเยาวชนได้มีโอกาสในการทำกิจกรรมทางกายเคลื่อนไหวออกแรง วิ่งเล่น ออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาคือ โรงเรียน เพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันและเพื่อนต่างรุ่นไม่เพียงแต่อยู่ในพื้นที่บ้านและชุมชนเท่านั้น บริบทของเพื่อนยังมีความสำคัญในพื้นที่โรงเรียน เพราะเด็กและเยาวชนจะใช้ชีวิตส่วนมากนอกเหนือจากบ้านคือโรงเรียน ดังนั้น การทำให้โรงเรียนเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้และการเล่นของเด็กและเยาวชนจึงเป็นโอกาสที่สำคัญในการเพิ่มระดับของการมีกิจกรรมทางกาย
ที่มา: https://www.freepik.com (Premium)
เอกสารอ้างอิง