ถึงวันนี้ ปีใหม่ 2568 ก็คงเริ่มจะหมด “ความใหม่” ไปมากแล้ว อย่างที่ผมเขียนรำพึงรำพันไว้เป็นกลอนปีใหม่ตอนหนึ่งว่า “ปล่อยเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปเถิด กาลบังเกิดใหม่เก่าทุกเช้าค่ำ” มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เวลาเปลี่ยนไป แต่ละนาที แต่ละชั่วโมง แต่ละวันที่ผ่านไปก็เกิดเวลาใหม่แทนเวลาเก่าอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นวันใหม่ ซึ่งก็จะกลายเป็นวันเก่า เมื่อถึงวันพรุ่งนี้
ยังคิดถึงกลอนปีใหม่บทเดียวกันนั้น ผมขึ้นต้นว่า “ปีใหม่ใช่จะมีชีวิตใหม่ เพียงชีพเก่าสิ้นไปอีกปีหนึ่ง” ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่อีกกี่ปี แต่เมื่อถึงปีใหม่ผมจะทำใจว่า จำนวนปีที่เหลืออยู่ของผมได้ลดลงไปอีกหนึ่งปีแล้ว ผมดูกิจกรรมนับถอยหลังหรือ “เคานต์ดาวน์” เพื่อต้อนรับวินาทีที่เริ่มศักราชใหม่แล้วก็คิดถึงตัวเองว่าน่าจะต้องเริ่ม “เคานต์ดาวน์” นับถอยหลังไปจนถึงปีที่ตัวเองจะสิ้นสุดชีวิตลงแล้ว
“เคานต์ดาวน์” ต้อนรับปีใหม่ เขาเริ่มกันที่เลขสิบ แล้วนับถอยหลังไป เก้า แปด เจ็ด ถึง “ศูนย์” “แต่นับถอยหลังชีวิตผมจะเริ่มด้วยเลขอะไรดี” ผมจะมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือเปล่าถ้าผมจะเริ่มนับจากยี่สิบ หรือเริ่มจากเลขสิบจะน้อยเกินไปหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม เราไม่รู้ว่าชีวิตของเราจะจบสิ้นลงเมื่อไร อาจจะเป็นไปได้ที่ยังไม่ทันได้เริ่มนับถอยหลัง หรือนับได้เพียงสองสามปีผมก็ออกเดินทางไกลไปไม่กลับเสียก่อนแล้ว
เมื่อกลางเดือนมกราคม ปีใหม่ 2568 นี้ สถาบันวิจัยประชากรและสังคมได้นำเสนอข่าวประชากรที่น่าตื่นเต้นและน่าคิด แม้คนไทยจะได้รับรู้ข่าวเกี่ยวกับจำนวนเด็กไทยเกิดน้อยลงไปอย่างน่าตกใจต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้รายงานว่า ในปีเก่า 2567 ที่เพิ่งผ่านมา มีเด็กเกิดจำนวนต่ำกว่า 5 แสนคนเป็นปีแรกนับตั้งแต่มีรายงานจำนวนคนเกิดคนตายที่มาจดทะเบียนเป็นต้นมา
ปี 2567 ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ที่จดทะเบียน 4 แสน 6หมื่นคน น้อยมากจริงๆ เมื่อเทียบกับจำนวนเด็กเกิดในอดีต ในช่วงระหว่างปี 2506-2526 มีเด็กเกิดเกินกว่าล้านคนในแต่ละปี ในปี 2514 มีเด็กไทยเกิดมากถึง 1.2 ล้านคน ผมเรียกเด็กเกิดในช่วง 20 ปีนี้ว่า “คนรุ่นเกิดล้าน” ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อว่า “สึนามิประชากร” ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่วัยสูงอายุในปัจจุบัน
เมื่อสถาบันวิจัยประชากรและสังคม นำจำนวนเด็กเกิด 4.6 แสนคน มาคิดคำนวณเป็นอัตราเจริญพันธุ์รวม ซึ่งหมายถึงจำนวนบุตรเฉลี่ยที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีตลอดวัยเจริญพันธุ์ ก็จะได้ค่าของอัตรานี้เท่ากับ 1.0 ซึ่งหมายความว่าในปี 2567 นี้ ผู้หญิงไทยคนหนึ่งมีลูกโดยเฉลี่ยตลอดวัยมีบุตรของตนเพียงหนึ่งคนเท่านั้น
อัตราเจริญพันธุ์รวมที่ผู้หญิงไทยมีลูกโดยเฉลี่ยเพียงหนึ่งคนนับว่าต่ำมาก อัตรานี้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับอัตราของประเทศญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง เมื่อ 2 ปีก่อนผมจำได้ว่าเกาหลีใต้รายงานว่าอัตราเจริญพันธุ์รวมในประเทศของตนลดต่ำลงมากเป็นประวัติการณ์ คือผู้หญิงเกาหลีใต้มีลูกโดยเฉลี่ยเพียง 0.9 คนเท่านั้น
ที่จริงแล้วจำนวนลูกโดยเฉลี่ยของผู้หญิงในประเทศต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่จะลดน้อยลงทั่วทั้งโลก ประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ และยุโรปตะวันตกอัตราเจริญพันธุ์รวมอยู่ในระดับประมาณ 1.5 ประเทศในเอเชียตะวันออกมีอัตราเจริญพันธุ์รวมเพียง 1.0-1.2 เมื่อ 50 ถึง 60 ปีก่อน ไม่มีใครเคยคิดว่าอัตราเจริญพันธุ์รวมของผู้หญิงทั่วโลกจะลดต่ำลงมากถึงขนาดนี้
ผมเชื่อว่ามีเหตุผลมากมายที่จะอธิบายว่า ทำไมผู้หญิงไทยและผู้หญิงในหลายประเทศทั่วโลกจึงมีลูกกันน้อยลง เหตุผลสั้นๆ ที่ฟังเหมือนกับว่า “เอากำปั้นไปทุบดิน” ที่ทุบลงตรงไหนก็ถูกตรงนั้น ก็คือ “วิถีชีวิตของคนในสังคมสมัยนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว” วิถีชีวิตของคนในสังคมไทยทำให้ผู้คนไม่ต้องการมีครอบครัวใหญ่อีกต่อไป
รูป: ChatGPT ปัญญาประดิษฐ์สุดล้ำ ถามตอบได้ทุกข้อที่คุณสงสัย
ที่มา: https://swiftlet.co.th/chat-gpt/
สืบค้นเมื่อ 15 มกราคม 2568
ผมอยากจะใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเขียนบทความชิ้นนี้ จึงทดลองใช้แอปพลิเคชัน ChatGPT ผมลองป้อนคำถาม “ทำไมผู้หญิงไทยจึงมีลูกน้อยลง” ให้เธอ (AI) ช่วยตอบเธอคงเป็นเพศหญิงเพราะเธอพูดลงท้ายว่า ค่ะ คะ ทุกครั้ง เธอตอบมาในเวลาเพียงไม่เกิน 2 นาที ผมจึงขอนำข้อความที่ได้รับมานำเสนอไว้ดังต่อไปนี้
“เหตุผลที่ผู้หญิงไทยมีลูกน้อยลงในปัจจุบันเป็นปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับหลายปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต เช่น:
1. ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร
ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงลูกสูงขึ้น เช่น ค่าเล่าเรียน ค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายทั่วไป ทำให้หลายครอบครัวเลือกที่จะมีลูกน้อยลงหรือไม่มีลูกเลย
2. การศึกษาและบทบาทของผู้หญิง
ผู้หญิงไทยมีการศึกษาสูงขึ้น และหลายคนมุ่งมั่นกับการสร้างอาชีพหรือเป้าหมายส่วนตัว การแต่งงานช้าหรือการเป็นโสดเพิ่มขึ้น ทำให้ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมีลูกสั้นลง
3. ความเปลี่ยนแปลงในค่านิยมและวัฒนธรรม
สังคมไทยเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นเกี่ยวกับการเลือกที่จะไม่มีลูก คนรุ่นใหม่มองว่าการมีลูกไม่ใช่สิ่งจำเป็นในการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์
4. ความกังวลเรื่องอนาคต
หลายคนกังวลเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจ ความมั่นคงในอาชีพ และคุณภาพชีวิตในอนาคตของลูก ความไม่แน่นอนในสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม
5. การเข้าถึงการวางแผนครอบครัว
การเข้าถึงความรู้และเทคโนโลยีการคุมกำเนิดทำให้คู่สมรสสามารถวางแผนครอบครัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. ความสมดุลในชีวิตส่วนตัว
คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง การเดินทาง และการใช้ชีวิตแบบอิสระ ทำให้การมีลูกกลายเป็นทางเลือกที่รองลงมา
สถานการณ์ในปัจจุบัน รัฐบาลไทยตระหนักถึงปัญหานี้และเริ่มส่งเสริมมาตรการกระตุ้นการเกิด เช่น สวัสดิการสำหรับครอบครัวและแรงจูงใจทางภาษี แต่ความสำเร็จของมาตรการเหล่านี้ยังขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระยะยาว
คุณมีมุมมองหรือคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นนี้หรือไม่คะ? ”
ผมลองถามต่อไปอีกว่า “มีรายละเอียดเพิ่มเติมในมิติอื่นอีกไหม” ChatGPT ตอบมาทันทีว่า “แน่นอนค่ะ การที่ผู้หญิงไทยมีลูกน้อยลง มีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถพิจารณาเพิ่มเติมในมิติต่างๆ อีกมากมาย” แล้วเธอก็อรรถาธิบายเหตุผลที่ผู้หญิงไทยมีลูกน้อยลงมาให้ผมอ่านอีกสองหน้ากระดาษ
ต้องยอมรับว่าเธอ (ChatGPT) เก่งจริงๆ รวบรวมคำอธิบาย และเหตุผลว่า ทำไมผู้หญิงไทยจึงมีลูกน้อยลงได้อย่างครบถ้วนและชัดเจน เธอช่วยผมประหยัดเวลาในการเขียนบทความนี้ได้เป็นชั่วโมง
มิติด้านจิตวิทยาและค่านิยมที่ ChatGPT ให้เพิ่มเติมมานั้นน่าคิดมาก เธอบอกว่า “มุมมองต่อความสุขของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปคนรุ่นใหม่ให้คุณค่ากับ ‘ความสุขส่วนตัว’ และ ‘ชีวิตที่มีอิสระ’ มากกว่าการสร้างครอบครัวแบบดั้งเดิม” ยิ่งไปกว่านั้น ความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ต่อการเลี้ยงดูเด็กก็เปลี่ยนไป “หลายคนมองว่า การเป็นพ่อแม่ต้องใช้เวลาและพลังงานมาก และต้องมอบทุกอย่างที่ดีที่สุดให้ลูก ซึ่งสร้างแรงกดดันจนทำให้หลายคนไม่ยอมแต่งงาน และไม่อยากมีลูก”
ในขณะที่จำนวนเด็กเกิดลดลงอย่างน่าตกใจ จำนวนคนตายในประเทศไทยกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตื่นเต้น ในรอบ 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ คนไทยตายมากกว่า 5 แสนคนในแต่ละปี เมื่อปี 2565 มีคนไทยตายมากถึง 595,965 ราย ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนคนตายที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เมื่อ 50- 60 ปีที่แล้ว คนตายในแต่ละปีของประเทศไทยมีจำนวนไม่ถึง 3 แสนคน น้อยกว่าจำนวนคนตายในปัจจุบันเกือบเท่าตัว
ผมคงไม่ขอความช่วยเหลือจาก AI ให้ช่วยหาเหตุผลว่า ทำไมคนไทยจึงตายเพิ่มมากขึ้น แต่ผมขออธิบายสั้นๆ ว่า เมื่อประเทศไทยมีผู้สูงอายุมากขึ้นอย่างมากโดยเฉพาะผู้สูงอายุวัยปลาย ก็ย่อมมีคนตายเพิ่มมากขึ้นเป็นธรรมดา จำนวนคนตายในแต่ละปีของประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก และคงจะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปีละ 6 แสนคนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
จำนวนคนไทยตายที่เพิ่มสูงขึ้นไม่น่าตกใจ เพราะเป็นธรรมชาติที่คนแก่แล้วก็ต้องตาย แต่ที่น่ากังวลคือ จำนวนผู้สูงอายุที่อยู่ในสภาพช่วยตัวเองไม่ได้และต้องการการดูแลแบบประคับประคองก่อนที่พวกเขาจะตายจากไป ทำอย่างไรเราจึงจะย่นเวลาที่อยู่ในสภาพช่วยตัวเองไม่ได้ให้สั้นที่สุด สำหรับผู้ไม่ต้องการที่จะเป็นภาระให้กับคนอื่น ผมคงต้องพยายามปฏิบัติตนให้เป็นผู้สูงอายุที่มีพลังไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ผมอยากจะลาจากโลกนี้ไปอย่างสงบและมีศักดิ์ศรี
เด็กไทยเกิดน้อยลงจนมีจำนวนต่ำกว่า 5 แสนคนในแต่ละปี คนไทยมีอายุยืนยาวขึ้นจนมีอายุคาดเฉลี่ยประมาณ 76 ปี ประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 13 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 20 ต่อประชากรทั้งหมด คนไทยตายปีละ 5 แสนกว่าคนมากกว่าจำนวนเด็กเกิดทำให้อัตราเพิ่มประชากรติดลบ แต่อัตราเพิ่มของประชากรสูงอายุสูงถึงร้อยละ 4-5 ต่อปี ปรากฏการณ์เหล่านี้เป็นสถานการณ์ประชากรไทยในปัจจุบัน
“สึนามิประชากร” หรือประชากรรุ่นเกิดล้านที่เกิดระหว่างปี 2506-2526 กำลังทยอยกลายเป็นผู้สูงอายุ อีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะกลายเป็น “สังคมสูงวัยระดับสุดยอด” ซึ่งจะมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่ต้องอยู่ตามลำพัง
เราจะทำอย่างไรกับสังคมสูงวัยระดับสุดยอด วันหลังผมคงต้องปรึกษาปัญญาประดิษฐ์ (AI) เธอคงให้คำตอบได้บ้าง