การมองเห็นและการได้ยินมีบทบาทสำคัญในทุกแง่มุมของชีวิต เป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ การทำงาน การใช้ชีวิต การช่วยเหลือตนเอง ฯลฯ สำหรับผู้สูงอายุนั้น เมื่อเกิดปัญหามองเห็นไม่ชัด หรือได้ยินไม่ชัด อาจทำให้เกิดความยากลำบากในการทำงาน การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรต่างๆ จำเป็นต้องพึ่งพาคนอื่นมากขึ้น อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุพลัดตก หกล้ม ได้รับอุบัติเหตุเพราะความที่มองไม่ชัดหรือได้ยินเสียงรอบข้างไม่ชัดเจน
ประเทศไทยตระหนักและให้ความสำคัญต่อการเป็นสังคมสูงวัย ประเด็นการมองเห็นและการได้ยินได้จึงเป็นข้อคำถามหนึ่งใน “การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย” ที่ดำเนินการโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในบทความนี้ ผู้เขียนได้นำข้อมูลของการสำรวจดังกล่าวในช่วง พ.ศ. 2550–2564 มาวิเคราะห์ โดยพบว่า ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มีความบกพร่องทางการมองเห็นมากกว่าการได้ยิน โดยประมาณครึ่งหนึ่งของผู้สูงอายุเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องใส่แว่นหรือเลนส์ตา ในขณะที่เกือบร้อยละ 90 ยังได้ยินชัดโดยไม่ต้องใส่เครื่องช่วยฟังและเมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงในแต่ละปี ดูเหมือนว่าการมองเห็นได้ชัดเจนนั้นมีแนวโน้มลดลง แต่การได้ยินชัดเจนมีแนวโน้มในทางตรงข้าม คือ เพิ่มขึ้น แม้ว่าแนวโน้มทั้งสองประการนี้จะยังไม่เด่นชัดนักก็ตาม (แผนภูมิ 1)
แผนภูมิ 1: ร้อยละผู้สูงอายุที่มองเห็นชัดโดยไม่ต้องใส่แว่น/เลนส์ตา ได้ยินชัดโดยไม่ต้องใส่เครื่องช่วยฟัง
ที่มา: วิเคราะห์โดยผู้เขียน จากข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2550-พ.ศ. 2564
คำถามต่อมาที่ทุกคนอาจอยากทราบ คือ ระหว่างผู้สูงอายุชายและหญิง การมองเห็นและการได้ยินของใครดีกว่ากัน โดยทั่วๆ ไป เมื่อเปรียบเทียบสถานะสุขภาพระหว่างชายและหญิง เรามักพบว่า สถานะทางสุขภาพของผู้หญิงมักจะดีกว่าผู้ชาย แต่ก็ไม่ใช่สำหรับการมองเห็นและการได้ยินในผู้สูงอายุ ผลการวิเคราะห์พบว่า ในทุกๆ ปีของข้อมูล มีสัดส่วนของผู้สูงอายุชายที่ยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนโดยไม่ต้องพึ่งแว่นตา/เลนส์ตา และยังสามารถได้ยินชัดโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องช่วยฟังสูงกว่าสัดส่วนของผู้สูงอายุหญิง หรือเมื่อมองอีกด้าน มีผู้สูงอายุหญิงที่การมองเห็นไม่ชัด หรือการได้ยินไม่ชัด คิดเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าผู้สูงอายุชาย นั่นคือ สุขภาพสายตาและการได้ยินของผู้สูงอายุหญิงแย่กว่าชายนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าผู้สูงอายุคนหนึ่งๆ เมื่อมีความบกพร่องทางการมองเห็นแล้วจะไม่มีความบกพร่องทางการได้ยิน หรือเมื่อมีความบกพร่องทางการได้ยินแล้วจะไม่บกพร่องทางการมองเห็น ดังนั้น ผู้เขียนจึงได้นำลักษณะการมองเห็นและการได้ยินมาวิเคราะห์ร่วมกัน โดยมีความเป็นไปได้ของลักษณะร่วม 4 ลักษณะ ดังนี้ 1) มองเห็นชัด ได้ยินชัด 2) มองเห็นชัด ได้ยินไม่ชัด 3) มองเห็นไม่ชัด ได้ยินชัด และ 4) มองเห็นไม่ชัดได้ยินไม่ชัด ซึ่งผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นว่า ใน พ.ศ. 2564 มีผู้สูงอายุที่ทั้งยังมองเห็นชัดและได้ยินชัดอยู่ร้อยละ 48 ขณะที่เพียงร้อยละ 3 มองเห็นชัดแต่ได้ยินไม่ชัด เกือบร้อยละ 40 เป็นผู้ที่มองเห็นไม่ชัดแต่ได้ยินชัด และอีกร้อยละ 12 เป็นผู้ที่ทั้งมองเห็นไม่ชัดและได้ยินไม่ชัด (แผนภูมิ 2)
แผนภูมิ 2: ร้อยละผู้สูงอายุ จำแนกตามลักษณะการมองเห็นและการได้ยิน พ.ศ. 2564
ที่มา: วิเคราะห์โดยผู้เขียน จากข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2564
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ได้คาดประมาณว่า ใน พ.ศ. 2568 จะมีผู้สูงอายุราว 14.4 ล้านคน หากความชุกของลักษณะการมองเห็นและการได้ยินเป็นดังที่แสดงไว้ในแผนภูมิ 2 ดังนั้นใน พ.ศ. 2568 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุที่ยังมองเห็นชัดโดยไม่ต้องใส่แว่นหรือเลนส์ตาและได้ยินชัดโดยไม่ต้องใส่เครื่องช่วยฟังอยู่ราว 6.9 ล้านคน โดยประมาณ 4 แสนคนจะเป็นผู้ที่มองเห็นชัดแต่ได้ไม่ยินชัด และอีก 5.4 ล้าน จะเป็นผู้ที่มองเห็นไม่ชัดแต่ได้ยินชัด สำหรับผู้สูงอายุที่ทั้งมองเห็นและได้ยินไม่ชัดจะมีอยู่ราว 1.7 ล้านคน ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่น้อยๆ เลย ถ้าผู้สูงอายุที่มองเห็นหรือได้ยินไม่ชัดสามารถเข้าถึงการมีแว่นตา หรือเครื่องช่วยฟัง อุปกรณ์เหล่านี้จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับผู้สูงอายุอย่างแน่นอน