The Prachakorn

ตะลุยอิสตันบูล จากไบแซนไทน์สู่ออตโตมัน


สุภรต์ จรัสสิทธิ์

24 กุมภาพันธ์ 2568
132



จากการเดินทางในครั้งก่อนที่ได้ตามรอยอารยธรรมกรีกและโรมันในตุรกี (จดหมายข่าว ปีที่ 45 ฉบับที่ 1) ผู้เขียนขอพาเข้ามาสู่ยุคถัดมากับเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเมืองอิสตันบูล เมืองที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์กว่าสองพันปี เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของยุคไบแซนไทน์และออตโตมัน ด้วยเรื่องราวที่ผ่านมาของอิสตันบูล จึงทำให้การเดินทางครั้งนี้ดูน่าตื่นเต้น เพราะจะได้ไปตะลุยกรุงคอนสแตนติโนเปิลอันยิ่งใหญ่ในอดีต

เมื่อเสาแห่งคอนสแตนตินเข้าสู่ยุคออตโตมัน

ระหว่างทางไปตลาดเครื่องเทศ ผู้เขียนเกือบเดินผ่านเสาแห่งคอนสแตนติน (Column of Constantine) แต่เพราะความสูงใหญ่ของเสาต้นนี้ ทำให้ต้องหยุดมองและสงสัยว่า เสาต้นนี้น่าจะมีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ และเมื่อรู้ว่านี่คือเสาแห่งคอนสแตนติน ที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับการประกาศเข้าสู่ยุคไบแซนไทน์หรือยุคจักรวรรดิโรมันตะวันออก ก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง ซึ่งแต่เดิมเสาต้นนี้สวยกว่าภาพที่เห็นในปัจจุบันมาก เพราะถูกตกแต่งด้วยหินสีม่วงจากอียิปต์ และมีรูปปั้นประดับอยู่บนยอดเสาทำให้เสาในอดีตมีความสูงมากกว่าที่เห็นในปัจจุบัน จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว สงครามครูเสด และการเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ทำให้เสากลายเป็นสีดำไหม้จนถูกเรียกว่า Burnt Column และเหลือความสูงเพียง 35 เมตร (ประมาณตึกแถว 7 ชั้น)

รูป 1: เสาแห่งคอนสแตนติน สัญลักษณ์เข้าสู่ยุคไบแซนไทน์
รูปโดย: สุภรต์ จรัสสิทธิ์

Hagia Sophia จากโบสถ์สู่มัสยิด

อดีตวิหารของชาวคริสต์นิกายกรีกออร์ทอดอกซ์ที่ถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดในยุคออตโตมัน แต่ยังคงหลงเหลือร่องรอยของศาสนาคริสต์ให้สังเกตได้ เช่น ภาพโมเสกพระเยซู นักบุญ และทูตสวรรค์ รวมถึงภาพกางเขนในเสาบางต้น ที่แม้จะถูกปิดทับสัญลักษณ์เหล่านี้ด้วยปูนปลาสเตอร์ไปในยุคออตโตมัน แต่กลับกลายเป็นการอนุรักษ์ภาพโมเสกโดยไม่ได้ตั้งใจ Hagia Sophia ในปัจจุบันมีการตกแต่งด้วยลวดลายอาหรับและตัวอักษรอิสลามได้อย่างกลมกลืนและสวยงาม เมื่อก้าวเข้าไปด้านในวิหาร จะได้เห็นความใหญ่โตของโดม ซึ่งเราจะต้องแหงนมองจนสุดคอ และเพิ่มความท้าทายด้วยการมองหาภาพวาดที่เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาคริสต์ให้เจอ

มาถึงยุคปลายของออตโตมัน เมื่อพระราชวังสะท้อนการเปลี่ยนผ่าน

หลังจากได้เยี่ยมชมพระราชวัง Topkapi ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นของวัฒนธรรมออตโตมัน มีการตกแต่งด้วยกระเบื้องอิซนิกสีฟ้าสดใส และได้เข้ามาชมอีกพระราชวังหนึ่ง คือ พระราชวัง Dolmabahace ที่สร้างในยุคปลายของออตโตมันก็จะสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างกัน เหมือนก้าวข้ามมาอีกยุคสมัย ด้วยบรรยากาศที่หรูหราแตกต่างกับพระราชวัง Topkapi การตกแต่งมีทั้งศิลปะแบบนีโอ-บาโรกผสมผสานกับออตโตมัน สะท้อนถึงการรับวัฒนธรรมตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นการใช้หินอ่อนตกแต่งการติดตั้งโคมไฟคริสตัลแบบโบฮีเมียนที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลกไปจนถึงการตกแต่งภายในแต่ละห้องด้วยภาพวาดขนาดใหญ่ จนต้องเอ่ยปากชมว่าสวยไปแทบทุกห้อง นอกจากความหรูหราภายในพระราชวังแล้ว ผู้เขียนยังเห็นว่าประตูพระราชวังชั้นนอกก็มีความสวยงามโดดเด่น และคิดว่ามีความคล้ายกันมากกับประตูชั้นนอกของพระราชวัง Akasaka ที่ญี่ปุ่นซึ่งรับอิทธิพลตะวันตกมาเช่นกัน พระราชวัง Dolmabahace ไม่เพียงสะท้อนถึงความรุ่งเรืองในช่วงปลายของยุคออตโตมัน แต่ยังแสดงให้เห็นการปรับตัวและหลอมรวมวัฒนธรรมตะวันตกได้อย่างลงตัว

รูป 2: ประตูชั้นนอกของพระราชวัง Dolmabahace ศิลปะแบบนีโอ-บาโรก
รูปโดย: สุภรต์ จรัสสิทธิ์

ทุกซอกมุมของตุรกีมีเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่และน่าค้นหา จนทำให้รู้สึกว่าต้องกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน

 


Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th