จากสถิติด้านการท่องเที่ยวของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา1 มีข้อสังเกตที่น่าสนใจจาก 5 อันดับรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติระหว่างปี 2552–2565 ที่แสดงในตารางด้านล่าง
ตาราง: 5 อันดับรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติระหว่างปี 2552-2565
ที่มา: ผู้เขียนรวบรวมข้อมูลจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา1
กว่า 10 ปี ระหว่างปี 2555–2564 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเที่ยวไทยสูงเป็นอันดับ 1 และมาอย่างต่อเนื่อง เคยสร้างรายได้สูงกว่าห้าแสนล้านบาท ขณะที่รัสเซียสร้างรายได้ให้กับไทยติด 5 อันดับแรกเกือบทุกปี แม้ไม่หวือหวาเท่านักท่องเที่ยวจีน แต่ก็มีความสม่ำเสมอตลอดมา
แม้ว่านักท่องเที่ยวจีนจะสร้างรายได้ให้กับไทยเป็นจำนวนมาก แต่จำเป็นที่จะต้องมีมาตรการควบคุมการจัดนำเที่ยวที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการไทยที่เรียกว่า ทัวร์ศูนย์เหรียญ (Zero Dollar Tours) หรือการจัดนำเที่ยวโดยตั้งราคานำเที่ยวต่ำ ผ่านการกำหนดโปรแกรมท่องเที่ยวที่อุดหนุนธุรกิจของนักลงทุนสัญชาติเดียวกันกับนักท่องเที่ยวสัญชาตินั้น ทำให้เกิดสภาวะ (นักท่องเที่ยว) จีนกิน (นักท่องเที่ยว) จีนใช้ (ผู้ประกอบการ) จีนเจริญ
ส่วนนักท่องเที่ยวรัสเซีย จำเป็นต้องมีมาตรการจัดการกับนักธุรกิจที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าชาวจีน ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยมีข่าวเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญ แต่ในพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงทั้งพัทยาและภูเก็ต ต่างก็มีชุมชนธุรกิจของชาวรัสเซียให้เห็นอย่างเด่นชัด2
จากสถิตินักท่องเที่ยวระหว่างปี 2554–2562 นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นและเกาหลี มีการเดินทางมาเที่ยวไทยสูงเกิน 1 ล้านคนต่อปี3 แต่กลับสร้างรายได้ไม่ติด 5 อันดับแรกดังที่ควรจะสัมพันธ์กัน แสดงถึงการใช้จ่ายทางการท่องเที่ยวเฉลี่ยต่อคนไม่สูงมากนัก ทำให้รายได้รวมไม่สูงตาม เมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวสัญชาติอื่นที่มีจำนวนการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยน้อยกว่า แต่กลับมีการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนสูงกว่า
หากพิจารณารายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างปี 2552–2565 จะพบว่า นักท่องเที่ยวอังกฤษ ออสเตรเลีย และอเมริกา มีการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนสูงเมื่อเทียบกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย หากจูงใจให้นักท่องเที่ยวทั้ง 3 สัญชาติเข้ามาเมืองไทยให้มากขึ้นกว่าเดิมได้ จะมีแนวโน้มทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม
หลายปีที่ผ่านมามีความพยายามเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีการใช้จ่ายสูงให้มากขึ้น แต่จากตารางข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่า การเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายทางการตลาด จำเป็นต้องชั่งใจในการกำหนดนโยบายที่แตกต่างกันให้สมดุล เช่น ชาติที่มาไทยมาก จำต้องเลือกใช้มาตรการเชิงการป้องกัน ขณะที่นักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายสูง ต้องเลือกใช้มาตรการจูงใจที่ชักจูงให้เพิ่มจำนวนการเดินทางให้มากขึ้นแทน
การมุ่งกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดที่โน้มไปในทางใดทางหนึ่งเป็นการเฉพาะ อาจไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งพื้นฐานทางการท่องเที่ยวของไทย ภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ และพฤติกรรมนักท่องเที่ยว จึงจำเป็นต้องทำวิจัยเชิงลึกในประเทศเป้าหมายให้ละเอียดที่สุด เพื่อกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
เอกสารอ้างอิง