เมื่อสูงวัยแล้วหลายคนคง “อยากอยู่บ้านเดิม” เพราะไม่ต้องการสร้างความคุ้นเคยใหม่อีกครั้ง จากการสำรวจสถานการณ์เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงอายุ ในปี 2567 โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2567 จากผู้ตอบแบบสำรวจ 1,042 คน พบเกือบ 70% ของคนทุกเจนเนอเรชันเห็นด้วยว่าการได้อยู่บ้านจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าการอยู่ในสถานดูแลผู้สูงอายุ สะท้อนให้เห็นมุมมองเรื่องของการอยู่อาศัยเมื่อถึงวัยสูงอายุ เพราะบ้านและสภาพแวดล้อมรอบบ้านที่อยู่มานานเป็นบรรยากาศที่คุ้นเคย จนบางคนอยู่อาศัยในบ้านหลังเดิมมานานถึงขั้นหลับตาเดินไปห้องน้ำก็ยังได้ แต่การเสื่อมถอยตามอายุ ความไม่แน่นอนของสุขภาพ อาจทำให้แม้ลืมตาเดินก็ไม่สามารถพาร่างกายไปยังพื้นที่รอบบ้านได้ ข้อจำกัดเหล่านี้ ทำให้ต้องย้ายไปอยู่สถานดูแลผู้สูงอายุหรืออาจจะต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมบริเวณบ้านให้เหมาะสมในการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปลอดภัย
ประเทศสหรัฐอเมริกามีการกล่าวถึงประเด็นนี้มาตั้งแต่ปี 1980 เพราะขณะนั้นมีสัดส่วนผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป มากถึง 11.3% ของประชากรทั้งประเทศ นับว่าเป็นสังคมสูงอายุ (aged society) มาตั้งแต่ 45 ปีก่อน และจำนวนผู้สูงอายุที่มีภาวะป่วยเรื้อรังก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่การให้บริการของสถานพยาบาลดูแลผู้สูงอายุ (nursing home) โดยเฉพาะการให้บริการดูแลระยะยาว (long term care) มีค่าใช้จ่ายสูง นำไปสู่การพูดถึงแนวคิด Environmental Press ของ M. Powell Lawton และ Lucille Nahemow ที่นำเสนอในปี 1973 ซึ่งอธิบายว่าหากสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวไม่รองรับความสามารถของผู้สูงอายุ อาจทำให้พวกเขาเครียด กดดัน และรู้สึกไม่ปลอดภัย แนวคิดนี้จึงถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุให้รองรับการเสื่อมถอยของร่างกายและตรงกับความต้องการของผู้สูงอายุ เพื่อผู้สูงอายุจะยังคงอาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยเดิมได้ โดยให้การตัดสินใจย้ายมาอยู่ในสถานพยาบาลดูแลผู้สูงอายุเป็นทางเลือกสุดท้าย
รูป 1: 3 องค์ประกอบหลักสนับสนุน aging in place
ที่มา: จงจิตต์ ฤทธิรงค์ และคณะ (2567)
เป็นที่น่ายินดีที่ผลการดำเนินงานจากองค์กรหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ในประเทศไทยต่างเห็นความสำคัญของด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาวะโดยรวมของผู้สูงอายุ ซึ่งผลการศึกษาเรื่องการสูงวัยในถิ่นที่อยู่ด้วยบริการด้านสุขภาพและนวัตกรรมทางสังคมของหลายภาคส่วน ในปี 2567 โดย จงจิตต์ ฤทธิรงค์ และคณะวิจัย ทำการศึกษาและรวบรวมการบริการที่องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม จัดหา/บริการเพื่อผู้สูงอายุ ตามองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ
1) สถานที่ เทคโนโลยี และสภาพแวดล้อม: การออกแบบและปรับปรุงที่พักอาศัย เช่น การติดตั้งราวจับ การปรับพื้นให้เรียบเสมอกัน และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ง่ายและปลอดภัยมากขึ้น เช่น ไม้เท้าอัจฉริยะ อุปกรณ์ช่วยเดินช่วยลุกยืน โดยในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีศักยภาพทางการเงิน อาจจะซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ที่ออกแบบโครงสร้างพื้นฐานและบริการที่รองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุ เช่น บ้านพักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร หรือซีเนียร์ คอมเพล็กซ์ (senior complex) หรือบ้านอัจฉริยะ (smart home) ที่สามารถเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ เพื่อลดอุบัติเหตุในบ้าน
2) บริการสุขภาพและการดูแลระยะยาว: การเข้าถึงบริการสุขภาพที่เหมาะสม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงต้องการการบริการดูแลระยะยาวที่บ้านหรือชุมชน เช่น การเยี่ยมบ้านโดยบุคลากรทางการแพทย์ และการดูแลระยะยาวที่มีคุณภาพจากทีมหมอครอบครัว (family care team) การมีสถานบริการดูแลสุขภาพในชุมชนโดยไม่จำเป็นต้องย้ายไปอยู่สถานดูแลผู้สูงอายุ เช่น ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในชุมชนหรือบ้านกลางของผู้สูงอายุ การส่งเสริมตำบลที่มีระบบการส่งเสริมสุขภาพดูแลผู้สูงอายุระยะยาว (long term care) ในชุมชน นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการจัดส่งอาหารสำหรับผู้ป่วยตามลักษณะของโรคประจำตัว โครงการอาสาสมัครดูแลสุขภาพ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครประจำครอบครัว (อสค.) เป็นต้น
รูป 2: องค์ประกอบหลักด้านบริการสุขภาพและการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง
ที่มา: จงจิตต์ ฤทธิรงค์ และคณะ (2567)
3) บริการการดูแลทางสังคม: การสนับสนุนจากชุมชนและเครือข่ายทางสังคม เช่น กลุ่มอาสาสมัคร หรือกิจกรรมทางสังคมที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมในชุมชน ช่วยให้ผู้สูงอายุไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี กิจกรรมการอบรมในหัวข้อต่าง ๆ เช่น ด้านอินเทอร์เน็ต การใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัย โดยให้ความรู้ผ่านแอปพลิเคชัน เช่น YoungHappy การให้ความรู้ทางการเงินผ่านสถาบันทางการเงิน เพื่อให้ผู้สูงอายุตามสถานการณ์และทันกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ก้าวไปพร้อมกับการเติบโตของสังคมได้ รวมไปถึงบริการการเดินทาง เช่น บริการแท็กซี่สำหรับผู้สูงอายุ บริการ Zenior Care สำหรับผู้สูงอายุที่อยู่บ้าน เป็นต้น
รูป 3: นวัตกรรมอุปกรณ์ช่วยผู้สูงอายุ
ที่มา: จงจิตต์ ฤทธิรงค์ และคณะ (2567)
ปัจจุบันประเทศไทยได้เป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ (aged society) โดยมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 20.8% ของประชากรทั้งหมด นอกจากสัดส่วนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นแล้ว ปัญหาสุขภาพที่มาพร้อมกับวัยก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย ทำให้ความต้องการการดูแลและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่อยากอยู่บ้านหลังเดิม แต่ปัจจัยหลายอย่างทำให้การอยู่อาศัยในที่เดิมเป็นเรื่องยาก หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ ข้อจำกัดทางการเงิน จากการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2567 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบผู้สูงอายุจำนวนมากมีเงินออมต่ำกว่า 50,000 บาท ซึ่งทำให้การปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมและปลอดภัยเป็นเรื่องยาก การสำรวจนี้ยังพบว่าบ้านเป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหกล้มสูงที่สุดในกลุ่มผู้สูงอายุ คือ 50.5% ของการหกล้ม เกิดขึ้นที่บริเวณตัวบ้าน และ 32.4% เกิดการหกล้มภายในตัวบ้าน ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการออกแบบบ้านที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ
นอกจากสภาพแวดล้อมในบ้าน โครงสร้างพื้นฐานในชุมชนก็ยังต้องการการสนับสนุนที่เพียงพอเพื่อรองรับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ เช่น ระบบขนส่งสาธารณะที่เอื้อต่อการเดินทางของผู้สูงอายุ สถานที่ทำกิจกรรมสำหรับผู้สูงอายุ และพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัย แม้ว่าการออกแบบพื้นที่สาธารณะจะเริ่มมีการคำนึงถึง universal design เช่น การทำทางเท้าที่เรียบเสมอ ลดอุบัติเหตุจากการสะดุดล้ม แต่ก็ยังไม่เพียงพอในอีกหลายชุมชนที่ต้องการการพัฒนา
ประเทศไทยจำเป็นต้องเร่งผลักดันแนวคิด aging in place ให้เป็นทางเลือกที่เป็นไปได้สำหรับผู้สูงอายุ เพราะสุดท้าย “บ้านที่คุ้นเคย” จะเป็นที่ที่ผู้สูงอายุสามารถอยู่อาศัยต่อไปได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการพัฒนาสภาพแวดล้อมและระบบสนับสนุนตามองค์ประกอบ 3 ด้าน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม
อ้างอิง