หากมองชีวิตในวัยของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ที่มีอายุอยู่ระหว่าง 19-25 ปี ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านจากวัยรุ่นตอนปลายสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น ต้องยอมรับว่าเป็นช่วงชีวิตที่ไม่ง่ายนัก เพราะวัยนี้ต้องแบกรับความคาดหวังจากครอบครัว ญาติ พี่น้อง อาจารย์ เพื่อน รวมถึงคนในสังคม ที่ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลต่อช่วงวัยนี้4 ดังนั้น การสร้างความสุขในรั้วมหาวิทยาลัยจึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้
ชีวิตนักศึกษาต้องประสบพบเจอแรงกดดันต่างๆ มากมาย แม้วัยนี้จะมีอิสระในการดำเนินชีวิตมากกว่าช่วงวัยเด็กที่ผ่านมา แต่การก้าวย่างจากการอยู่กับครอบครัว เข้ามาอยู่ในสังคมมหาวิทยาลัย นักศึกษาต้องแบ่งเวลาการปฏิบัติหน้าที่หลัก ได้แก่ การเรียน และสำหรับนักศึกษาบางคนอาจมีหน้าที่หลักในการดูแลครอบครัวด้วย กับหน้าที่รองด้านอื่นๆ ให้ได้ เช่น การเข้าร่วมงานของมหาวิทยาลัย และการทำกิจกรรมนอกห้องเรียนต่างๆ จากการศึกษาในประเทศไทย พบว่า วัยรุ่นมักมีความประพฤติที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากความพยายามที่จะแสดงถึงความสามารถในการดูแลตนเองและไม่ต้องการพึ่งผู้อื่น5 นอกจากนี้ พวกเขามักเกิดความรู้สึกไม่พอใจในสังคมที่ไม่สมบูรณ์แบบอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้น ความสุขของนักศึกษาเกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกที่แตกต่างจากกลุ่มประชากรอื่น การสำรวจสถานการณ์ความสุข รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อความสุขของนักศึกษาย่อมชี้ให้เห็นแนวทางในการพัฒนามหาวิทยาลัยให้เป็นแหล่งผลิตบัณฑิตที่มีความสุข และเป็นคนทำงานที่มีความสุขและมีคุณภาพต่อองค์กรและประเทศชาติต่อไป
โครงการศูนย์วิชาการมหาวิทยาลัยแห่งความสุขกับการสร้างเสริมสุขภาพอย่างยั่งยืน สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้สำรวจความผูกพัน ความพึงพอใจ และความสุขของนักศึกษา ภาคีมหาวิทยาลัยแห่งความสุข ระหว่างเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2565 ถึงเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2567 โดยมีนักศึกษาร่วมตอบแบบสอบถามรวมทั้งสิ้น 17,026 คน จาก 26 มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ (เพศชาย 4,711 คน เพศหญิง 11,700 คน เพศหลากหลาย 603 คน และไม่ระบุ 12 คน) อายุเฉลี่ย 20.5 ปี พบว่า นักศึกษาครึ่งหนึ่งมีความสุขในการเรียนอยู่ในระดับมาก (ร้อยละ 49.9) รองลงมามีความสุขในการเรียนอยู่ในระดับปานกลาง (ร้อยละ 43.6) และระดับน้อยถึงไม่มีความสุขเลยร้อยละ 6.62 นอกจากนี้ ผลการสำรวจฯ พบว่า ปัจจุบัน ความสุขในการเรียนของนักศึกษาขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษาและอาจารย์ผู้สอน การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับเพื่อน สภาพแวดล้อมในมหาวิทยาลัย และสุขภาพจิตของนักศึกษา
ความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษากับอาจารย์ผู้สอนมีผลต่อความสุขของนักศึกษา ผู้สอนที่เป็นกันเอง รับฟังความคิดเห็น และมีความเข้าอกเข้าใจนักศึกษา จะส่งเสริมให้นักศึกษามีสุขภาพจิตที่ดีและเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข ในทางตรงกันข้าม ผู้สอนที่เข้มงวดและกดดันเกินไป จะส่งผลให้นักศึกษามีภาวะเครียดซึ่งส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิตได้ในระยะยาว4 ดังนั้น การวางตัวอย่างเหมาะสมตามยุคสมัยของผู้สอนโดยคำนึงถึงตัวผู้เรียนจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ ผลการสำรวจฯ สะท้อนให้เห็นรูปแบบการเรียนการสอนที่น่าจะเหมาะสมกับนักศึกษาในปัจจุบัน ได้แก่ การให้อิสระกับนักศึกษาในการแสดงความคิดเห็นหรือมีส่วนร่วมในการออกแบบการเรียนการสอน ซึ่งผลการสำรวจฯ ชี้ให้เห็นว่านักศึกษามีความสุขในการเรียนมากขึ้น เมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมกับการเรียนการสอนมากขึ้น (รูปที่ 1)2
สำหรับนักศึกษา เพื่อนคือบุคคลสำคัญที่มีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพและทักษะทางสังคม การโดนกลั่นแกล้งรังแก หรือ การทะเลาะเบาะแว้ง ล้วนเป็นอุปสรรคต่อความสุขในการเรียนของนักศึกษา ทำให้นักศึกษามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปและไม่มีความพร้อมในการเรียนรู้1 โดยผลการสำรวจฯ พบว่า นักศึกษาที่มีการพูดคุย/ปรึกษาหารือ/แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนจะมีความสุขในการเรียนมากกว่า ในทำนองเดียวกัน ถ้านักศึกษามีปฏิสัมพันธ์พูดคุยกับเพื่อนน้อย ก็ทำให้ความสุขในการเรียนน้อยลงไปด้วย (รูปที่ 1)2
สภาพแวดล้อมภายในมหาวิทยาลัยนั้นมีผลต่อความสุขของนักศึกษาเป็นอย่างมาก การมีมลพิษทางเสียง หรือมีความเสี่ยงในด้านความปลอดภัย ล้วนทำให้นักศึกษารู้สึกถึงความไม่มั่นคง และส่งผลต่อความพึงพอใจโดยรวมต่อสภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัย4 ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจฯ ที่พบว่า นักศึกษาที่มีคะแนนความพึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมโดยรวมของมหาวิทยาลัยสูง จะมีความสุขในการเรียนมาก (รูปที่ 1)2 ดังนั้น การปรับปรุงภูมิทัศน์และสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ส่งผลต่อความสุขในการเรียนของนักศึกษา
ปัญหาสุขภาพจิต เช่น สมาธิสั้น อารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง และภาวะซึมเศร้า1 หากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่ถูกต้องและทันท่วงทีอาจกระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อคุณภาพชีวิตของนักศึกษา เช่น ผลกระทบต่อการเรียน ปัญหาด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่น การใช้แอลกอฮอล์และสารเสพติด และการขาดทักษะในการปรับตัวให้เข้ากับสังคมและการเปลี่ยนแปลง จนไม่สามารถดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติสุขได้5 การดูแลสุขภาพจิตของนักศึกษาจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน เช่น มหาวิทยาลัย ผู้ปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงผู้เชี่ยวชาญ เพื่อช่วยเหลืออย่างมีขั้นตอนและเป็นระเบียบแบบแผน ซึ่งข้อมูลจากการสำรวจฯ สะท้อนให้เห็นว่านักศึกษาที่มีสุขภาพจิตดี จะมีความสุขกับการเรียนมากไปด้วย ในขณะที่นักศึกษาที่มีค่าคะแนนสุขภาพจิตน้อย ไม่มีความสุขหรือมีความสุขในการเรียนน้อยไปด้วย (รูปที่ 1)2
รูปที่ 1 คะแนนเฉลี่ยปัจจัยที่มีผลต่อความสุขกับการเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามักแสดงออกมาด้วยตัวเลขชี้วัดต่างๆ โดยมีปัจจัยมากมายที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของตัวเลขเหล่านั้น อาทิเช่น การมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมกับการเรียนการสอน การได้สื่อสารพูดคุย/ปรึกษาหารือ/แลกเปลี่ยนความรู้สึกกับเพื่อน ตลอดจนความพึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมโดยรวมของมหาวิทยาลัย แต่สิ่งหนึ่งที่มักจะถูกมองข้ามไปคือ พื้นฐานด้านสภาพจิตใจและอารมณ์ของผู้เรียน โดยเฉพาะความสุขกับการเรียน
อ้างอิง