ก่อนจะเข้าเรื่องอยากถามคุณผู้อ่านว่าคุณหนักเท่าไร และสูงเท่าไร ลองคำนวณโดยเอาน้ำหนัก (กิโลกรัม, กก.) ตัวหารด้วยส่วนสูงหน่วยเมตรแล้วยกกำลังสอง (ม.2) ถ้าค่าที่ออกมาได้มากกว่า กก./ม.2 ตามเกณฑ์เอเชียแปซิฟิก หรือมากกว่า 30 กก./ม.2 ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก นั่นแปลว่า คุณเป็นโรคอ้วนให้เข้าแล้ว1 ! แต่ช้าก่อนอย่าเพิ่งวิตกกังกลจนเกินไป เกณฑ์วิธีวินิจฉัยข้างต้นอาจไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง โดยเฉพาะน้ำหนักอาจเป็นข้อมูลที่ไม่แม่นยำมากพอที่จะกล่าวหาว่าใครเป็นโรคอ้วน
ในปัจจุบัน ทางการแพทย์ใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index, BMI) จากการคำนวณน้ำหนักและส่วนสูงเพื่อพิจารณาโรคอ้วนซึ่งเป็นโรคชนิดหนึ่งที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด (cardiovascular diseases) โรคเบาหวาน และอื่นๆ ซึ่งทำให้ชีวิตคุณสั้นลงก่อนวัยอันควร1 อย่างไรก็ตาม การประเมินโรคอ้วนโดยใช้น้ำหนักและส่วนสูงอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง ลองจินตนาการนักกีฬาเพาะกายและพนักงานออฟฟิศผู้ไม่เคยออกกำลังกาย แต่มีค่า BMI 27 กก./ม.2 เท่ากัน สองคนนี้สมควรได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วนเหมือนกันหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่าสองคนนี้มีองค์ประกอบร่างกาย ได้แก่ มวลกล้ามเนื้อ และไขมัน แตกต่างกัน3
จากที่ทราบมาแล้วเบื้องต้นว่าค่า BMI อาจไม่เหมาะสมเพื่อใช้ประเมินความเสี่ยงสุขภาพของเรา ไม่นานมานี้จึงมีการเผยแพร่แนวทางการวินิจฉัยโรคอ้วนแบบใหม่ เรียกว่าค่าดัชนีมวลกลม (Body Roundness Index, BRI) โดยใช้ข้อมูลส่วนสูงและเส้นรอบเอว มาคำนวณ เนื่องจากในผู้ที่มีค่า BMI ตามเกณฑ์มาตรฐานอาจเป็นผู้ที่มีพุงหน้าท้อง (หรือที่เราเรียกให้ดูน่ารักว่าพุงหมาน้อย) ที่เกิดจากไขมันในช่องท้อง (visceral fat or visceral adipose tissue, VAT) ซึ่งเป็นไขมันที่อยู่ล้อมรอบอวัยวะภายในที่สำคัญ เช่น ตับ หัวใจ ปอด และอวัยวะอื่นๆ ที่สามารถนำไปสู่โรคเบาหวาน โรคหัวใจ รวมถึงมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ และมะเร็งเต้านม4 สูตรคำนวณค่าดัชนีมวลกลม คิดได้จากร้อยละไขมันในร่างกาย (%body fat) และร้อยละไขมันในช่องท้อง (%VAT) จากการวัดเส้นรอบเอวดังสูตรต่อไปนี้5
แตกต่างจาก BMI ที่ใช้เฉพาะค่าน้ำหนัก และส่วนสูง
ตัวอย่างในรูปที่ 1 อธิบายบุคคล 3 คนที่มีค่า BMI เท่ากัน คือ 27 kg/m2 เข้าข่ายการเป็นโรคอ้วน แต่องค์ประกอบร่างต่างกัน บุคคล A มีเส้นรอบเอว 73 เซนติเมตร มีมวลกล้ามเนื้อเล็กน้อย บุคคล B เส้นรอบเอว 68 เซนติเมตร และมีมวลกล้ามเนื้อชัดมากที่สุด บุคคล C เส้นรอบเอว 93 เซนติเมตร ส่วนสูงเท่า A แต่ไม่มีมวลกล้ามเนื้อ และมีไขมันสะสมเยอะที่สุด
รูปที่ 1 รูปสาธิตคนที่มีค่าดัชนีมวลกายเท่ากัน แต่องค์ประกอบร่างกายอื่นๆ ต่างกัน
(ดัดแปลงจาก โทมัสและคณะ5)
แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่มีเกณฑ์การแบ่ง BRI ที่ชัดเจนดังเช่น BMI แต่ข้อมูลจากการศึกษาติดตามระยะยาวในกลุ่มตัวอย่างวัยผู้ใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 32,995 ราย พบว่า คนที่มี BRI ต่ำกว่า 3.4 มีความเสี่ยงการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 (ค่า Hazard Ratio = 1.25) และ คนที่มี BRI สูงกว่า 6.9 มีความเสี่ยงการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุเพิ่มขึ้นร้อยละ 49 (ค่า Hazard Ratio = 1.49) เมื่อเทียบกับคนที่มี BRI อยู่ในช่วงกลาง (4.5 ถึง 5.5)6 ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า ผู้ที่มีค่า BRI ระหว่าง 4.5 - 5.5 มีแนวโน้มน่าจะปลอดภัยจากการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุมากกว่าผู้ที่มีค่า BRI น้อยกว่าหรือมากกว่า
หากผู้อ่านอยากตรวจเช็คค่า BRI ของตนเองสามารถทดลองตรวจสอบค่า BRI ของตนเองโดยกดที่ข้อความนี้ เพื่อประเมินดูค่า BRI ประกอบกับ BMI ของตนเอง ผ่านเว็ปไซต์ WebFCE7 ซึ่งถูกพัฒนาจากทีมงานด้านการแพทย์และสุขภาพ (รูปที่ 2)
รูปที่ 2 ตัวอย่างการประเมิน BRI
จากผลการศึกษาข้างต้น จึงทราบกันแล้วว่า BRI มีความสัมพันธ์กับการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ และสามารถเป็นสัญญาณการเกิดโรคอ้วนได้ ดังนั้น แนวทางเบื้องต้นสำหรับป้องกันไม่ให้ค่า BRI เกินระดับสุขภาพดี และเฝ้าระวังตนเองไม่ให้ BMI มากกว่า 25 ตามมาตรฐานของประชากรเอเชีย หรือมีเส้นรอบเอวที่เข้าข่ายอ้วนลงพุง ไม่ให้เกิน 80 เซนติเมตร ในเพศหญิงและ 90 เซนติเมตร ในเพศชาย ผ่านพฤติกรรมสุขภาพ โดยเฉพาะการออกกำลังกาย การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอ ลดพฤติกรรมเนื่อยนิ่ง รวมถึงการรับประทานอาหารให้เหมาะสม ลด หลีกเลี่ยง อาหารประเภทแป้งแปรรูป (refined carbohydrates) อาหารหวานมีน้ำตาล เนื้อสัตว์แปรรูป8 เพื่อป้องกันการเกิดภาวะอ้วนลงพุงเนื่องจากไขมันสะสมในช่อง รวมถึงโรคอ้วนซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ ในอนาคต ที่จะสร้างความยากลำบากในการดำเนินชีวิต กระทั่งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
อ้างอิง