The Prachakorn

ความก้าวหน้าที่ชะงักงันของสิทธิสตรีในยุคทรัมป์ 2.0


สุชาดา ทวีสิทธิ์

10 มีนาคม 2568
126



การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม (Humanitarianism) มีความจำเป็นสำหรับโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ขณะที่การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมช่วยบรรเทาความทุกข์ยาก ช่วยส่งเสริมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งยังช่วยสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นในโลก ยังมีหลายเหตุผลที่ประเทศชั้นนำในโลกถอนตัวหรือลดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมลง เหตุผลหนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมือง ที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญของนโยบายต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น ในกรณีประเทศสหรัฐอมริกาที่มี โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ให้ความสำคัญกับนโยบาย "America First" มุ่งเน้นไปที่การแก้ปัญหาภายในประเทศก่อน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ รัฐบาลทรัมป์ได้ลดค่าใช้จ่ายด้านความช่วยเหลือต่างประเทศที่เคยผ่านองค์กร USAID ลงอย่างมาก จนมีผลกระทบไปทั่วโลก

นโยบาย "America First"  ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำให้ความก้าวหน้าในการยกระดับสิทธิมนุษยชนของผู้หญิงและเด็กหญิงในประเทศกำลังพัฒนาต้องหยุดชะงักหรือล่าช้า

เครดิตภาพ: AI Generate by www.freepik.com

ผลกระทบต่อสุขภาพหญิงตั้งครรภ์และทารก

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่นำโดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ตัดเงินสนับสนุนที่รัฐบาลให้กับกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านการวางแผนครอบครัว สุขภาพมารดา และการป้องกันความรุนแรงทางเพศในประเทศกำลังพัฒนา การตัดเงินสนับสนุนนี้ส่งผลให้โครงการหลายโครงการที่ช่วยชีวิตผู้หญิงและเด็กต้องหยุดชะงัก หรือลดประสิทธิภาพลง นอกจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้เสนอให้ลดงบประมาณความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสหรัฐอเมริกาในหลายภูมิภาค รวมถึงการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามและภัยธรรมชาติ การลดทอนความช่วยเหลือนี้ ส่งผลให้ผู้หญิงและเด็กหญิงจำนวนมากในพื้นที่วิกฤต ขาดแคลนอาหาร ที่อยู่อาศัย และการดูแลสุขภาพขั้นพื้นฐาน

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ลดบทบาทในเวทีระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น การถอนตัวจากข้อตกลงปารีสเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อโครงการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้ผู้หญิงยากจนที่มีความเปราะบางที่จะได้รับความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่าเพศอื่น ต้องตกอยู่ในภาวะเปราะบางด้านสุขภาพ สังคม และเศรษฐกิจมากกว่าเดิม

นอกจากนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์ให้ฟื้นฟูและขยายนโยบาย Global Gag Rule ซึ่งเป็นนโยบายที่ห้ามไม่ให้องค์กรพัฒนาเอกชนในประเทศต่างๆ ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา จัดบริการให้คำปรึกษา ส่งต่อ หรือจัดบริการทำแท้ง นโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบรุนแรงต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพด้านอนามัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิงในประเทศกำลังพัฒนา หลายองค์กรที่ให้บริการด้านสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์แก่ผู้หญิง เช่น บริการการคุมกำเนิด การดูแลสุขภาพมารดา และการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งเอชไอวี ต้องปิดตัว หรือลดขอบเขตการให้บริการลงเนื่องจากขาดเงินทุนสนับสนุน

เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า นโยบายของทรัมป์ส่งผลให้การเข้าถึงบริการสุขภาพแก่ผู้หญิงและเด็กในประเทศกำลังพัฒนาลดลงอย่างมาก เกิดภาวะขาดแคลนการอุปกรณ์คุมกำเนิด และการดูแลสุขภาพมารดา ซึ่งจะส่งผลทำให้อัตราการเสียชีวิตของมารดาและทารกเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การขาดการสนับสนุนด้านการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น เอชไอวี จะทำให้การแพร่ระบาดของโรคเหล่านี้เพิ่มขึ้นในหลายภูมิภาค ที่มีผู้หญิงและเยาวชนหญิงได้รับผลกระทบมากที่สุด อันเนื่องมาจากความไม่เท่าเทียมทางเพศที่ดำรงอยู่ในวัฒนธรรมท้องถิ่น

กระทบต่อสิทธิทำแท้งที่ปลอดภัยและการคุมกำเนิด

นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิทธิมนุษยชนและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้หญิงในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความเสมอภาคทางเพศและสิทธิมนุษยชนของเพศหญิงในประเทศสหรัฐอเมริกาเองอีกด้วย

เมื่อทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก เขาได้แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม ขึ้นแทนคนเก่าซึ่งคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนผู้หญิงมากกว่า นำมาสู่การล้มล้างคำพิพากษาสำคัญเกี่ยวกับสิทธิการทำแท้งที่ศาลสูงสุดเคยพิพากษาไว้ในปี 1973 ในคดีประวัติศาสตร์ Roe v. Wade1  ครั้งนั้นศาลสูงพิพากษาให้การทำแท้งถูกกฎหมายทั่วสหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ผู้หญิงสามารถยุติการตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสแรกโดยไม่มีเงื่อนไข นอกจากนั้น คำพิพากษานี้ยังอนุญาตให้รัฐต่างๆ กำหนดกฎระเบียบสำหรับการอนุญาตให้ทำแท้งในไตรมาสที่สองและสามของอายุครรภ์ได้ เพื่อคุ้มครองสุขภาพของแม่และชีวิตของทารกในครรภ์ แต่การล้มล้างคำพิพากษาดังกล่าว ในสมัยทรัมป์ 1.0 เมื่อปี 2022 นำไปสู่การสิ้นสุดการคุ้มครองสิทธิการทำแท้งในรัฐธรรมนูญ และมีผลให้รัฐอนุรักษ์นิยมหลายรัฐรีบออกกฎหมายจำกัดหรือห้ามการทำแท้ง

ขณะนี้นักพิทักษ์สิทธิในการทำแท้งในสหรัฐอเมริกาวิตกกังวลกันว่า รัฐบาลทรัมป์ 2.0 อาจผลักดันให้รัฐบาลกลางและรัฐบาลระดับรัฐใช้อำนาจจำกัดการทำแท้งมากกว่าเดิม  เพราะมีกลุ่มอนุรักษ์นิยมบางกลุ่มพยายามผลักดันให้นำกฎหมาย Comstock Act ปี 1873 ที่ห้ามส่งสิ่งของประเภทที่นิยามว่า “ผิดศีลธรรมอันดี" (obscene materials) ทางไปรษณีย์มาบังคับใช้ ทั้งๆ ที่กฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ถูกนำมาใช้นานแล้ว ถ้าหากนำมาบังคับใช้ก็จะมีการดำเนินคดีกับบุคคลรวมถึงแพทย์ที่ส่งหรือรับยาทำแท้งทางไปรษณีย์ น่าตกใจที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมมองว่า ยาทำแท้งที่ทำให้ผู้หญิงปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นสิ่งของ “ผิดศีลธรรม”

แม้แต่องค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration หรือ FDA) ของสหรัฐอเมริกา ก็อาจจะมีนโยบายอนุรักษ์นิยมเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยกำหนดมาตรการทางกฎหมายเพื่อขัดขวางการเข้าถึงยาทำแท้งที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง เช่น ยาไมเฟพริสโตน (mifepristone)2 หรือรวมทั้งการเข้าถึงอุปกรณ์และยาคุมกำเนิดมากขึ้น ที่ผ่านมากลุ่มต่อต้านการทำแท้งพยายามขัดขวางการเข้าถึงยาทำแท้ง ถึงแม้ว่าในช่วงของรัฐบาลไบเดน องค์กร FDA ได้ต่อสู้เพื่อให้ยาไมเฟพริสโตยังคงมีจำหน่ายโดยไม่มีข้อจำกัดมากนัก แต่ทรัมป์อาจแต่งตั้งคณะกรรมาธิการ FDA จากฝ่ายอนุรักษ์นิยมขึ้นมาแทน ปัจจุบันนี้ ร้อยละ 63 ของการทำแท้งในสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นในไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์และโดยการใช้ยาทำแท้ง

นอกจากนี้ ยังมีความกังวลและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสิ่งที่ทรัมป์จะทำหากสภาคองเกรสผ่านกฎหมายห้ามทำแท้งในระดับชาติ หากผู้หญิงถูกปิดกั้นการเข้าถึงยาทำแท้งไมเฟพริสโตน คาดการณ์ได้เลยว่า ผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคงกระจุกอยู่ในผู้หญิงผิวสี ผู้หญิงชาวพื้นเมือง ผู้หญิงที่เป็นผู้อพยพ ผู้หญิงที่มีรายได้น้อย รวมถึงวัยรุ่นหญิงที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี อีกทั้งมีความเป็นไปได้ที่ว่าบริษัทประกันสุขภาพ อาจจะหยุดให้ความคุ้มครองสิทธิประกันค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการทำแท้งที่ปลอดภัย รวมทั้งยาและอุปกรณ์คุมกำเนิด เช่น ถุงยางอนามัย เป็นต้น

กระทบต่อโอกาสการทำงานและค่าจ้างที่เท่าเทียม

สำหรับในเรื่องการจ้างงาน รัฐบาลทรัมป์ได้ลดทอนการคุ้มครองการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน ตัวอย่างเช่น มีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการโอกาสการจ้างงานที่เท่าเทียมกัน (Equal Employment Opportunity Commission หรือ EEOC) รวมทั้งมีการปลดกรรมการหลักที่สนับสนุนความเท่าเทียมทางเพศในที่ทำงาน สิ่งนี้มีผลอย่างมากทำให้ความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติในที่ทำงานอ่อนแอลง อีกทั้งนโยบายของทรัมป์ยังอาจจะทำให้ช่องว่างค่าจ้างและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างหญิงชายย่ำแย่ลง โดยการยกเลิกกฎระเบียบที่ให้บริษัทจ้างงานต้องรายงานข้อมูลอัตราค่าจ้างตาม เพศ เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ ที่เคยริเริ่มไว้ในสมัยประธานาธิบดีบารัค โอบามา ส่งผลให้การติดตามเฝ้าระวัง และการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านค่าจ้างด้วยเหตุแห่งเพศ เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ ทำได้ยากยิ่งขึ้น

สรุป

ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่ตัวอย่างผลกระทบบางส่วน ที่เกิดจากนโยบาย “America First" และการลดความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประเทศกำลังพัฒนาของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในสมัยทรัมป์ นโยบายดังกล่าวส่งผลให้เกิดความชะงักงันในการปรับปรุงสิทธิมนุษยชนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของผู้หญิงและเด็กหญิงที่มีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของวัฒนธรรมแบบปิตาธิปไตย วันสตรีสากล (International Women's Day) วันที่ 8 มีนาคมปีนี้  คงไม่ใช่วันแห่งการเฉลิมฉลองความก้าวหน้าของผู้หญิง แต่จะเป็นวันที่นักเคลื่อนไหวสิทธิสตรีทั่วโลก ต้องร่วมกันทบทวนแนวทางการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศและสิทธิมนุษยชนของผู้หญิง ที่ยังพึ่งพิงทรัพยากรจากภายนอก ตลอดจนต้องลุกขึ้นมาสู้กลับกับการกลับมาของกระแสอนุรักษ์นิยมสุดโต่งอีกด้วย


อ้างอิง

  1. Roe v. Wade เป็นคำพิพากษาที่สำคัญในคดีฟ้องร้องเรื่องสิทธิการทำแท้ง ที่ถูกนำขึ้นศาลโดย "Jane Roe" (นามแฝงของ Norma McCorvey) การฟ้องร้องครั้งนี้ เป็นการท้าทายกฎหมายของรัฐเท็กซัส ที่ทำให้การทำแท้งเป็นความผิดทางกฎหมาย ศาลสูงสหรัฐในขณะนั้น ได้ตัดสินว่ากฎหมายเหล่านี้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของผู้หญิงซึ่งรัฐธรรมนูญคุ้มครอง และได้กำหนดสิทธิทางกฎหมายของผู้หญิงในการทำแท้งไว้
  2. เป็นยาที่ใช้หยุดการเจริญเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พร้อม และมีอายุครรภ์ไม่เกิน 9 -12 สัปดาห์

Tags :

CONTRIBUTOR

Related Posts
Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th