การเดินเขาในประเทศเนปาลเป็นที่นิยมอย่างมากของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก จึงเป็นความฝันของใครอีกหลายคน ที่อยากจะมีสักครั้งในชีวิตที่ได้มีโอกาสไปพิชิตเทือกเขาหิมาลัยในประเทศเนปาล เพื่อมาดูยอดเขาหิมะที่สูงที่สุดในโลกที่ชื่อว่าเอเวอเรสต์ (Everest) ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 8,848 เมตร สำหรับนักท่องเที่ยวมือใหม่อย่างเรา การได้ไปเดินเขาหิมาลัยนับเป็นหนึ่งในความฝันที่อยากมีประสบการณ์เดินขึ้นยอดเขาในเทือกเขาหิมาลัยสักครั้ง หลังจากหาข้อมูลอยู่นาน ก็ตัดสินใจไปเดินขึ้นยอดเขาอันนาปูรณะหรือที่คนส่วนใหญ่เรียกเส้นทางเดินเขานี้ว่าเส้นทางเดินเขา ABC (Annapurna Base Camp) ที่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 4,130 เมตร เพราะระดับความยากของการเดินเส้นทางนี้ไม่ยากมาก ใช้เวลาในการเดินเพียง 5-7 วัน ทั้งนี้ระยะเวลาของการเดินนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและความแข็งแรงของร่างกายของแต่ละคนด้วย
เริ่มออกเดินทางจากกรุงกาฐมาณฑุ (Kathmandu) เมืองหลวงของประเทศเนปาล ด้วยเครื่องบินขนาดเล็กที่บินผ่านเทือกเขาหิมาลัยและทำให้มีโอกาสชมยอดเขาเอเวอเรสต์จากหน้าต่างเครื่องบิน ก่อนที่จะไปถึงเมืองโปขระ (Pokhara) การเดินทางด้วยเครื่องบินในประเทศเนปาลต้องเผื่อเวลาและวางแผนสำรองไว้ด้วย เพราะสภาพอากาศที่นี่มีความแปรปรวนอย่างมาก สายการบินสามารถยกเลิกเที่ยวบินได้ตลอดเวลา เมื่อมาถึงเมืองโปขระต้องต่อรถจี๊ปอีกประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อไปยังจุดเริ่มต้นของการเดินทางขึ้นเขา
การเดินทางเท้าเริ่มจากการเดินลัดเลาะไปตามไหล่เขา ทุ่งนาขั้นบันได จะเห็นวิวเทือกเขาหิมาลัยที่มีทิวทัศน์สวยงามและมองเห็นยอดเขามัจฉาปูฉเร (Machhapuchhre) หรือเรียกสั้นๆ ว่ายอดเขาหางปลา (Fish Tail) เพราะยอดเขานี้จะมีสองแฉกเหมือนกับหางปลาที่ตั้งสูงตระหง่านให้มองเห็นจากไกลๆ ทำให้สามารถชมความงามของเทือกเขาและถ่ายรูปมุมต่างๆ ของยอดเขาหางปลาได้ตลอดเส้นทางของการเดิน
อย่างไรก็ตาม การเดินทางขึ้นเทือกเขาหิมาลัยได้สร้างความท้าทายต่อร่างกายและจิตใจอย่างมาก เพราะบางวันต้องเดินมากกว่า 20 กิโลเมตร เดินไต่เขาจากพื้นราบไปจนถึงยอดเขาที่มีความสูงจากน้ำทะเลมากกว่า 3,000 เมตร แล้วเดินกลับลงมาจนถึงลำธารด้านล่าง เดินสลับขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ทุกวัน แต่ละวันจะใช้เวลาเดินประมาณ 7-8 ชั่วโมง ต้องเดินตากแดดตากลม เดินขึ้นลงบันได เดินบนสะพานสูง เดินข้ามลำธาร เดินบนทางดินขรุขระ เดินบนก้อนหิน และบางวันต้องเดินฝ่าลมหนาวที่มีอุณหภูมิติดลบ 8 องศา
การเดินขึ้นเขาต้องค่อยๆ เดิน เพราะอยู่บนภูเขาสูงออกซิเจนในอากาศจะมีน้อย หากเดินเร็วจะเหนื่อยได้ง่าย ต้องก้าวขาช้าๆ แล้วถ่ายน้ำหนักตัวไปข้างหน้า มองแค่ขั้นบันไดตรงหน้าแล้วก้าวเดินไปทีละขั้นอย่างสม่ำเสมอ จนกว่าจะถึงจุดหมาย และหากมองย้อนกลับไปตามเส้นทางที่เดินผ่านมาในแต่ละวัน ก็จะทึ่งกับตัวเองว่าเราสามารถเดินมาสูงและมาไกลขนาดนี้ได้อย่างไร
ช่วงเวลาแห่งความประทับใจระหว่างการเดินทางเกิดขึ้นมากมายทุกช่วงเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาตอนเช้าหรือตอนเย็น ที่ดวงอาทิตย์สาดแสงมากระทบกับยอดเขาที่มีหิมะปกคลุม แล้วสะท้อนเป็นแสงสีทองบริเวณยอดเขา (ดูรูป 1) ช่วงกลางคืนมองเห็นดวงดาวอย่างชัดเจนเต็มท้องฟ้า ช่วงเวลากลางวันก็จะได้สัมผัสกับวิวทุ่งนาขั้นบันไดตลอดสองข้างทาง ต้นไม้รูปทรงแปลกตาลำธารที่ไหลลัดเลาะไปตามซอกหิน รวมถึงสัตว์ต่างๆ ที่เป็นสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านและที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ นอกจากนี้ยังได้สัมผัสความน่ารักของนักท่องเที่ยวที่ทักทายและให้กำลังใจกันระหว่างการเดินทาง รวมทั้งได้เห็นวิถีชีวิตและความเป็นอยู่แบบเรียบง่ายของชาวบ้าน
รูป 1: วิวเทือกเขาหิมาลัยสะท้อนแสงสีทอง
รูปโดย: นิพนธ์ ดาราวุฒิมาประกรณ์
การเดินเขาในครั้งนี้ ทำให้เกิดความรู้สึกประทับใจเป็นอย่างมากภูมิใจกับความพยายามและความตั้งใจของตัวเองว่าในที่สุดก็ทำได้ สามารถพาตัวเองมาถึงจุดหมายปลายทาง ดีใจมาก มีความสุข และเพลิดเพลินกับบรรยากาศและอากาศอันแสนบริสุทธิ์ รวมถึงความอลังการของภูเขาหิมะที่อยู่ตรงหน้า สวยงามมากๆ ที่ได้มาเห็นกับตาด้วยตัวเอง
รูป 2: รูปจุดชมวิวเทือกเขาอันนาปูรณะ
รูปโดย: นิพนธ์ ดาราวุฒิมาประกรณ์