ผู้เขียนได้เคยเขียนเล่าเรื่องการไปเยือนฟิลิปปินส์ครั้งแรกในชีวิตไปแล้วในจดหมายข่าวประชากรฉบับก่อนหน้านี้ที่เล่าถึงเรื่องอาหารฟาสต์ฟู้ดสัญชาติฟิลิปปินส์ ฉบับนี้จะขอเล่าถึงสถานที่ท่องเที่ยวในกรุงมะนิลาบ้าง ในครั้งนั้นผู้เขียนเดินทางไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทาง อีก 4 คน เนื่องจากเราเลือกที่พักในย่านธุรกิจมากาติ (Makati) ความประทับใจแรกจึงรู้สึกว่ามะนิลานั้นไม่ต่างจากกรุงเทพมหานครฯของเราเท่าไร มีความเป็นเมือง มีตึกสูง รถไฟฟ้า และจราจรติดขัดที่เราคุ้นเคย ที่แปลกออกไปจากกรุงเทพฯคือมะนิลามีจี๊ปนี่ (Jeepney)
จี๊ปนี่ (Jeepney)
เป็นรถจี๊ปของทหารอเมริกันสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นรถโดยสารประจำทางแบบ open air ถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของที่นี่ เราเดินเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่ตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน เช่น โบสถ์ซาน อากุสติน (San Agustin)
โบสถ์ซาน อากุสติน (San Agustin)
ป้อมปราการและกำแพงคูเมืองอินทรามูรอส (Intramuros) ป้อมซานติเอโก (Fort Santiago) และ สวนไรซัล (Rizal) สวนสาธารณะใจกลางเมือง
สวนไรซัล (Rizal)
และมีประวัติของนายโฮเซ่ ไรซัล (José Rizal) ซึ่งบุคคลสำคัญในฐานะที่เป็นผู้นำในการต่อต้านระบบอาณานิคมของสเปนให้ได้ศึกษา เมื่อเดินเที่ยวจนเพลียจากแสงแดดยามบ่าย เราจึงหลบอากาศร้อนเข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมะนิลา โอเชี่ยน พาร์ก (Manila Ocean Park) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสวนไรซัล (Rizal) นัก ที่นี่มีสัตว์น้ำนานาชนิด ทั้งฉลามหลายสายพันธ์ ปลาไหลมอร์เร่ต์ยักษ์ กระเบน และปลาเล็กปลาน้อยทั้งสายพันธุ์น้ำเค็มและน้ำจืด ที่ผู้เขียนประทับใจคือการโชว์ระบำแมงกะพรุน
ระบำแมงกะพรุน
ที่นำแมงกะพรุนมาจัดโชว์ในตู้กระจกพร้อมประดับไปหลากสี ได้มองแมงกะพรุนเคลื่นไหวไปมาในตู้กระจกเคล้าจังหวะดนตรีคลาสสิค สวยงามมาก นอกจากนี้เรายังมีโอกาสได้แวะไปชมอนุเสาวรีย์คาราบาว
อนุเสาวรีย์คาราบาว
ในภาษาตะกะล้อก แปลว่า กระบือ ซึ่งเป็นสัตว์ประจำชาติของฟิลิปปินส์ เราใช้เวลานั่งเล่น ถ่ายรูป มองวิถีชีวิตของผู้คนในกรุงมะนิลาก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าบอกสัญญานว่าหมดเวลาเที่ยวเล่นแล้วจึงบอกามะนิลาและเตรียมตัวเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป