วิทยาศาสตร์คือ องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ ด้วยการใช้กระบวนการค้นคว้าหาความรู้อย่างเป็นระบบ มีขั้นตอน และมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ด้วยเหตุผล วิทยาศาสตร์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การรวบรวมข้อเท็จจริงในโลกและจักรวาลเท่านั้น แต่ยังเป็นหนทางที่จะรู้จักและเข้าใจในปรากฏการณ์และสิ่งต่างๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้ว ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นความจริงที่แน่นอนตลอดไป เพราะวิทยาศาสตร์จะเปิดกว้างให้มีการทบทวนและแก้ไขได้เมื่อมีหลักฐานใหม่ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จึงเริ่มต้นด้วยการคาดการณ์อย่างเป็นระบบ หรือที่เรียกว่า การตั้งสมมุติฐาน (hypothesis: ความเชื่อ ข้ออ้าง) ตามด้วยการทดลองที่เข้มงวดและทำซ้ำหลายๆ ครั้ง ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลอง
วิทยาศาสตร์ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง (fact) ไม่ได้ตั้งอยู่บนความคิดเห็นหรือความพึงใจ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์จึงได้ถูกออกแบบมา เพื่อให้เกิดการท้าทายในความคิดด้วยการวิจัย สิ่งหนึ่งที่สำคัญยิ่งในกระบวนการวิทยาศาสตร์คือ วิทยาศาสตร์มีจุดสนใจอยู่ที่โลกธรรมชาติเท่านั้น โดยไม่สนใจในสิ่งเหนือธรรมชาติ
วิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ วิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่ศึกษาปรากฏการณ์ธรรมชาติ กับวิทยาศาสตร์สังคมที่ศึกษาพฤติกรรมมนุษย์และสังคม โดยทั้งสองกลุ่มนี้เป็นวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ หมายถึง องค์ความรู้จะต้องมาจากปรากฏการณ์ที่สังเกตได้ และสามารถทดสอบความถูกต้องได้ด้วย ถ้าทำการศึกษาภายใต้สถานการณ์เดียวกัน
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จึงได้มาจากการทำวิจัยที่ใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) โดยมีขั้นตอนดังนี้
โดยสองข้อสุดท้ายมีความสำคัญที่สุด เพราะ “ถ้าไม่สามารถทำซ้ำได้ ก็จะไม่ถือเป็นวิทยาศาสตร์”
ข้อเน้นที่สำคัญของวิธีทางวิทยาศาสตร์ คือ
ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เป็นความจริงเชิงประจักษ์ แต่ก็เปิดโอกาสให้พิสูจน์ว่าเป็นเท็จได้ ถ้ามีหลักฐานใหม่มาสนับสนุน ดังนั้นจึงไม่มีทฤษฎีใดเลยที่จะเป็นจริงตลอดไป เพราะวิทยาศาสตร์ยอมรับแนวคิดที่ว่า “ความรู้เชิงประจักษ์ไม่มีความแน่นอน”
ตัวอย่างทฤษฎีหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับและถือว่าเป็นความจริงในอดีต แต่ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยทฤษฎีใหม่ หรือได้ถูกพัฒนาให้เป็นศาสตร์ใหม่ หรือได้ถูกยกเลิกไป เช่น
สรุปแล้ว ความจริงทางวิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่ความจริงเสมอไป (ความจริงแท้-ปรมัตถสัจจะ) แต่เป็นความจริงโดยสมมุติ (สมมุติสัจจะ) ที่ตั้งต้นจากข้อตั้ง ซึ่งข้อตั้งอาจไม่เป็นความจริงก็ได้ ดังบทความบนเว็บ boredpandaเรื่อง ข้อพิสูจน์ 15 ข้อที่แสดงว่าแมวเป็นของเหลว (15 Proofs That Cats Are Liquids - https://www.boredpanda.com/cats-are-liquids/)
บทความเริ่มต้นด้วยข้อตั้งของนิยามว่า “ของเหลวจะเปลี่ยนรูปร่างตามสิ่งที่บรรจุ ในขณะที่ยังคงมีปริมาณเท่าเดิม” จากนั้นก็แสดงภาพของเหลวไหลลงสู่ภาชนะ เพื่อแสดงว่านิยามเป็นความจริง จากนั้นก็เสนอภาพแมวที่เข้าไปอยู่ในภาชนะต่าง ๆ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นด้วยตา (เชิงประจักษ์) ว่า แมวเปลี่ยนรูปร่างไปตามภาชนะที่บรรจุ (ดังรูป)
ที่มา: https://imgur.com/s7JtV
บทความดังกล่าวได้กระตุ้นความสนใจของ Marc-Antoine Fardinนักวิจัยชาวฝรั่งเศสจนถึงกับได้ลงมือทำวิจัย โดยใช้กรรมวิธีพลศาสตร์ของไหล (fluid dynamics) เพื่อตอบคำถามว่า "แมวเป็นได้ทั้งของแข็งและของเหลวหรือไม่" ทำให้เขาได้รับรางวัลอีกโนเบล สาขาฟิสิกส์ในปี พ.ศ. 2560
รางวัลอีกโนเบล: รางวัลที่ทำให้ขำก่อนคิด