จากความร่วมแรงร่วมใจร่วมปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้าน การเว้นระยะห่างทางสังคม การใส่หน้ากากเมื่ออยู่ในที่ชุมชน และการใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้บ่อยครั้ง เป็นต้น ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย ดูจะบรรเทาเบาบางลง มีการผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่การคิดค้นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยังไม่ประสบผลสำเร็จ รูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้คนคงยังกลับไปเป็นปกติเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ ดังนั้น ในระหว่างที่ชีวิตของพวกเรายังคาบเกี่ยวอยู่กับความเสี่ยงของโควิด-19 เราจึงต้องปรับชีวิตรับ “วิถีปกติใหม่” หรือ “New normal” กันต่อไป
ทว่า “วิถีปกติใหม่” ที่ช่วยป้องกันเราจากโรคติดต่อโควิด-19 อาจสร้างพฤติกรรมทางสุขภาพที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อได้ เนื่องจากการรักษาระยะห่างทางกายภาพเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรคติดต่อ ดังนั้น การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมาจำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีการสื่อสารผ่านหน้าจอแทนการพบปะในระยะประชิด ไม่ว่าจะเป็นการเรียนออนไลน์ การประชุมออนไลน์ การสั่ง-ซื้อ-ขายสินค้าอุปโภคบริโภคออนไลน์ หรือการพบปะสังสรรค์ออนไลน์ และด้วย “วิถีปกติใหม่” เหล่านี้นี่เองที่ทำให้การสื่อสารผ่านหน้าจอกลายเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของใครหลาย ๆ คน เกิดเป็นความสุ่มเสี่ยงต่อพฤติกรรมติดจอ ซึ่งนอกจากจะลดโอกาสการมีกิจกรรมทางกายให้เพียงพอในแต่ละวันแล้ว พฤติกรรมการติดจอยังส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยตรงอีกด้วย
จากที่ทราบกันดีว่าการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอและในระดับที่เหมาะสมเป็นเสมือนยาขนานเอกที่ช่วยดูแลรักษาร่างกายของคนเราให้แข็งแรงมีสุขภาพดี แต่ถ้าเรามีพฤติกรรมเนือยนิ่ง หรือการนั่งนิ่ง ๆ เป็นระยะเวลานาน ๆ เช่น นั่งดูทีวี นั่งเล่นโทรศัพท์มือถือ ใช้คอมพิวเตอร์ หรือที่เรียกรวม ๆ ว่า พฤติกรรมหน้าจอ พฤติกรรมเหล่านี้ก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วยเช่นกัน งานวิจัยหลายชิ้นพบว่าการมีพฤติกรรมเนือยนิ่งมากทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตและการเกิดโรคไม่ติดต่อ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน และมะเร็ง เป็นต้น (Biswas et al., 2015; Dunstan, Howard, Healy, & Owen, 2012; Owen, Healy, Matthews, & Dunstan, 2010; Wilmot et al., 2012) ปัจจุบัน หลายประเทศทั่วโลก อาทิ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ แอฟริกาใต้และประเทศไทย รวมไปถึงองค์การอนามัยโลก ได้พัฒนาข้อแนะนำหรือไกด์ไลน์การมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่เหมาะสมในหนึ่งวันสำหรับกลุ่มวัยต่าง ๆ โดยรวมคำแนะนำสำหรับกิจกรรมทางกาย พฤติกรรมเนือยนิ่ง และการนอนหลับ เข้าไว้ในไกด์ไลน์เดียวกัน ซึ่งไกด์ไลน์ของประเทศไทยแนะนำว่าเด็กและวัยรุ่นไม่ควรใช้เวลาอยู่หน้าจอนานเกินวันละ 2 ชั่วโมง ส่วนผู้ใหญ่ควรให้เบรคพฤติกรรมเนือยนิ่งทุก ๆ 2 ชั่วโมง และทุก ๆ 1-2 ชั่วโมงในผู้สูงอายุ (Khamput et al., 2017)
เมื่อพิจารณาตัวอย่างคำแนะนำข้างต้น ต้องยอมรับว่าเป็นคำแนะนำที่ท้าทายมาก เพราะเดิมทีก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประชากรไทยมีพฤติกรรมเนือยนิ่งนานถึงประมาณวันละ 13 ชั่วโมง (Institute for Population and Social Research, 2016) และเมื่อเกิดวิกฤติการระบาดของโควิด-19 ทุกคนต้องช่วยกันหยุดอยู่บ้านเพื่อหยุดเชื้อเพื่อชาติ หยุดกิจกรรมการพบปะผู้คนนอกเคหะสถาน ที่อาจส่งผลต่อการแพร่กระจายของโควิด-19 เกิดวิถีชีวิตติดจอต้องพึ่งพิงระบบออนไลน์หนักขึ้น ทำให้โอกาสการมีพฤติกรรมเนือยนิ่งสูงขึ้นไปอีก และเมื่อพฤติกรรมเนือยนิ่งเพิ่มสูงขึ้น โอกาสการมีกิจกรรมทางกายย่อมลดลงตามไปด้วย ซึ่งสถานการณ์การมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอของประชากรทั่วโลกค่อนข้างน่าเป็นห่วงอยู่แล้ว มากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรอายุ 18 ปีขึ้นไป จาก 168 ประเทศ มีกิจกรรมทางกายไม่ถึงเกณฑ์ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนด (Guthold, Stevens, Riley, & Bull, 2018)
การแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจยุติเมื่อมีการค้นพบวัคซีนป้องกัน แต่พฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่น้อยเกินไปยังคงส่งผลสะสมต่อเนื่องเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อในภายหลัง ซึ่งความรุนแรงของการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอน่ากลัวไม่แพ้โควิด-19 เลยทีเดียว เพราะการมีกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอคร่าชีวิตผู้คน 5.3 ล้านคนต่อปี และเป็นสาเหตุอันดับ 4 ของการเสียชีวิตทั่วโลก (Lee et al., 2012) นี่จึงเป็นอีกหนึ่งข้อพึงระวังที่พ่วงมากับวิกฤตโควิด-19 ที่เราต้องร่วมด้วยช่วยกันไม่ให้ “วิถีปกติใหม่”เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อจากการมีพฤติกรรมเนือยนิ่งมากขึ้นและกิจกรรมทางกายน้อยลง แต่เราจะต้องสร้าง “วิถีปกติใหม่ที่กระฉับกระเฉง” ที่แม้จะต้องรักษาระยะห่างจากกัน แต่เราก็จะหมั่นขยับร่างกาย ออกกำลัง และไม่นั่งอยู่กับที่นาน ๆ
ภาพโดย: https://www.coolemancourt.com.au/whats-on/inspiration/5-ways-to-keep-your-kids-active-at-home
อ้างอิง