เนื่องจากการบริโภคไขมันทรานส์ไม่มีประโยชน์ทางสุขภาพที่ชัดเจน แต่มีผลการศึกษาที่ชี้ให้เห็นผลกระทบต่อสุขภาพในทางลบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ [1-5] องค์การอนามัยโลกจึงกำหนดชุดข้อเสนอแนะ REPLACE action package ขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการกำจัดไขมันทรานส์ของแต่ละประเทศ
บทความฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเผยแพร่ผลการศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินการของประเทศไทยในการกำจัดไขมันทรานส์ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nutrients ปีที่ 14 ฉบับที่ 13 [6] การศึกษาครั้งนี้ใช้กรอบสามเหลี่ยมนโยบาย (policy triangle framework) ในการวิเคราะห์ โดยแนวคิดดังกล่าวเชื่อว่าความสำเร็จและความล้มเหลวของนโยบายสาธารณะเป็นผลมาจากความซับซ้อนของสาระ บริบท กระบวนการและผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย [7]
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสัมภาษณ์หน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคมและภาคอุตสาหกรรม สะท้อนให้เห็นสาระ (การทำให้เป็นปัญหาและข้อโต้แย้งเกี่ยวกับมาตรการกำจัดไขมันทรานส์ในประเทศไทย) บริบท (บริบททางประวัติศาสตร์ บริบททางการเมือง บริบททางเศรษฐกิจ รวมทั้งบริบททางสังคมและวัฒนธรรม) กระบวนการ (การกำหนดนโยบายและการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ) รวมทั้งบทบาท ผลประโยชน์และอิทธิพลของผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย ซึ่งนำไปสู่ข้อค้นพบ 2 ประการ ดังนี้
การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับความสำเร็จของนโยบายชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับการกำจัดไขมันทรานส์ที่สำคัญ ทั้งนี้เพราะประเทศไทยได้มีการประกาศใช้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ.2561 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย แม้ว่าประเทศไทยกฎหมายดังกล่าวเพิ่งจะประกาศใช้ในปี พ.ศ.2561 แต่กระบวนการนโยบายในการกำจัดไขมันทรานส์ในประเทศไทยเป็นกระบวนการที่ยาวนานสืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงต้น ค.ศ.2000 โดยการตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดนโยบายดังกล่าวเป็นการตอบรับต่อกระแสความหวาดกลัวเกี่ยวกับไขมันทรานส์ภายในประเทศและการแพร่กระจายของนโยบายกำจัดไขมันทรานส์ในต่างประเทศ ทำให้การกำหนดนโยบายมีความราบรื่น (policy quiescence) และได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน
การวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับช่องว่างการดำเนินการชี้ให้เห็นว่า แม้ว่าการแบนน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับชุดข้อเสนอแนะ REPLACE action package ในโมดูลการตรากฎหมาย (Legislate) แล้ว แต่ควรมีการดำเนินมาตรการอื่นๆ ควบคู่ไปด้วยเพื่อให้นโยบายมีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการด้านการสร้างความตระหนัก (Create) และการบังคับใช้กฎหมาย (Enforce) เกี่ยวกับไขมันทรานส์ [8-10] โดยผู้ให้ข้อมูลบางส่วนยังคงมีความคาดหวังให้การกำจัดไขมันทรานส์ในประเทศไทยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผ่านการพัฒนากลไกการติดตามปริมาณไขมันทรานส์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสร้างมีส่วนร่วมของผู้บริโภคควบคู่กับการแบนน้ำมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจนบางส่วนไปด้วย
ประเทศไทยได้กำหนดประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 พ.ศ.2561 เรื่อง กำหนดอาหารที่ห้ามผลิต นำเข้า หรือจำหน่าย แล้ว การตรากฎหมาย (Legislate) ของประเทศไทยเป็นเหตุให้ประเทศไทยได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 15 ประเทศทั่วโลกที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับไขมันทรานส์ในระดับเป็นเลิศ (best-practice policy) ในปี พ.ศ.2563 อย่างไรก็ดี ประเทศไทยควรบังคับใช้ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 ควบคู่กับมาตรการอื่นๆ ต่อไป ทั้งในด้านการทบทวน (Review) ส่งเสริม (Promote) กฎหมาย (Legislate) ตรวจวัด (Assess) สร้างความตระหนัก (Create) และบังคับใช้กฎหมาย (Enforce) เกี่ยวกับไขมันทรานส์ เพื่อให้การกำจัดไขมันทรานส์มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น [8-10] นอกจากนี้ ปัจจุบันผลการศึกษาเกี่ยวกับการดำเนินการทางนโยบายภายหลังการประกาศใช้ (ex-post analysis) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เลขที่ 388 ยังคงมีอยู่จำกัด จึงควรมีการศึกษาเกี่ยวกับไขมันทรานส์เพิ่มเติมเพื่อยกระดับการดำเนินการทางนโยบายต่อไป
Samsiripong, W., Phulkerd, S., Pattaravanich, U., & Kanchanachitra, M. (2022). Understanding the Complexities of Eliminating Trans Fatty Acids: The Case of the Trans Fatty Acid Ban in Thailand. Nutrients, 14(13), 2748.
รายการอ้างอิง