“ไดอารี่” บอกเล่าข้อมูลสำคัญที่เกิดขึ้นภายใน 1 วันของผู้บันทึก ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ เมื่อมีการกำหนดช่วงเวลาการบันทึกกิจกรรมอย่างเป็นระบบและกำกับการบันทึกข้อมูลแวดล้อม ก็จะสามารถสะท้อนพฤติกรรมและความสัมพันธ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ สังคมศาสตร์ และสาธารณสุข เป็นต้น “ไดอารี่” จึงได้รับการพัฒนาให้เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการศึกษาวิจัยประเด็นต่างๆ ที่สะท้อนผ่านเรื่องราวประจำวันของผู้คน และเป็นจุดเริ่มต้นการศึกษาการใช้เวลา (time-use research) ตั้งแต่ปี 1913 แม้การบันทึกการใช้เวลาจะเป็นการบันทึกด้วยตัวผู้บันทึกเอง (self-report) แต่จากการทดสอบความเที่ยงตรงของข้อมูล เมื่อเทียบกับการบันทึกด้วยเครื่องมือ (objective measurement) ข้อมูลที่ได้มีความน่าเชื่อถือและแม่นยำถูกต้อง เนื่องจากเป็นการบันทึกเรื่องราวตามลำดับเหตุการณ์ที่ต่อเนื่อง ทำให้ความคลาดเคลื่อนของข้อมูลและอคติจากการจำได้ (recall bias) ลดน้อยลง1
ด้วยจุดเด่นของ “ไดอารี่” ที่สามารถบันทึกข้อมูลต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 24 ชั่วโมง การศึกษาด้านพฤติกรรมการเคลื่อนไหวจึงได้นำ “ไดอารี่” หรือการบันทึกการใช้เวลามาเป็นกรอบแนวคิดเพื่อติดตามทำความเข้าใจ และสะท้อนผลลัพธ์ทางสุขภาพจากการมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ เนื่องจากพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของคนเราถูกกำหนดอยู่ภายใต้กรอบการใช้เวลา 24 ชั่วโมงเช่นกัน กล่าวคือ ใน 1 วัน คนเราจะมีการเคลื่อนไหวอยู่ 3 ลักษณะใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ 1. กิจกรรมทางกาย เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่มีการใช้กล้ามเนื้อ แบ่งเป็น 3 ระดับได้แก่ เบา กลาง และหนัก 2. พฤติกรรมเนือยนิ่ง เป็นการไม่เคลื่อนไหวร่างกายในขณะตื่น (ใช้พลังงานต่ำ) และอยู่ในท่านั่ง/เอน/นอน และ 3. การนอนหลับ ซึ่งทั้ง 3 พฤติกรรมนี้จะเกิดขึ้นภายในเวลาที่จำกัดแน่นอน คือ 24 ชั่วโมงต่อวัน หากมีการเปลี่ยนแปลงทางเวลาของพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่ง ย่อมส่งผลต่อพฤติกรรมที่เหลืออย่างแน่นอน เช่น ถ้าเรามีพฤติกรรมเนือยนิ่งมากขึ้น 1 ชั่วโมง ย่อมส่งผลให้กิจกรรมทางกาย และ/หรือการนอนหลับของเราลดลง 1 ชั่วโมงตามไปด้วย
ดังนั้น ความสัมพันธ์ของทั้ง 3 พฤติกรรมที่เกาะเกี่ยวกันแน่นภายในกรอบ 24 ชั่วโมง จึงย่อมสะท้อนเป็นผลลัพธ์ทางสุขภาพที่เชื่อมโยงกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพอช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือดความดันโลหิตสูง2 ในขณะเดียวกันการมีพฤติกรรมเนือยนิ่งติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังได้3 เช่นเดียวกับการนอนหลับที่ไม่เพียงพอ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังและมีโอกาสการเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น4
เราจึงไม่อาจละเลยพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งได้ หากเรามีกิจกรรมทางกายเพียงพอ แต่ยังคงนั่งทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และพักผ่อนนอนหลับเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน แน่นอนว่าประโยชน์จากการมีกิจกรรมทางกายที่เพียงพออาจไม่สามารถต้านทานโทษจากพฤติกรรมเนือยนิ่งและการนอนน้อยได้
ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟินแลนด์ อังกฤษ โครเอเชีย แอฟริกาใต้ และไทย รวมถึง องค์การอนามัยโลก จึงได้พัฒนาข้อแนะนำการมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่ดีต่อสุขภาพครอบคลุมทั้ง 3 พฤติกรรม ได้แก่ กิจกรรมทางกาย พฤติกรรมเนือยนิ่ง และการนอนหลับ ภายใต้กรอบ 24 ชั่วโมง ซึ่งประเทศผู้นำที่ริเริ่มพัฒนาข้อแนะนำ 24 ชั่วโมง คือ ประเทศแคนาดา ที่บุกเบิกกระบวนการพัฒนาข้อแนะนำสำหรับกลุ่มวัยเด็กและวัยรุ่น ออกเป็น ‘The Canadian 24-hour Movement Guidelines for Children and Youth (aged 5–17 years): an Integration of Physical Activity, Sedentary Behaviour, and Sleep’ ในปี 2016 และเป็นตัวอย่างให้หลายประเทศพัฒนาข้อแนะนำ.ของตนเองขึ้นมารวมถึงประเทศไทยที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าประเทศใด พัฒนา ข้อแนะนำการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย การลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง และการนอนหลับ สำหรับ 5 กลุ่มวัย ได้แก่ กลุ่มสตรีตั้งครรภ์และหลังคลอด กลุ่มเด็กปฐมวัย (แรกเกิด–5 ปี) กลุ่มวัยเรียนและวัยรุ่น (6–17 ปี) กลุ่มผู้ใหญ่ (18–59 ปี) และกลุ่มผู้สูงวัย (60 ปีขึ้นไป) ในปี 2017 และเป็นประเทศแรกที่มีข้อแนะนำ 24 ชั่วโมงสำหรับกลุ่มผู้ใหญ่และผู้สูงวัยอีกด้วย (สามารถดูข้อแนะนำตามกลุ่มวัยได้ที่ https://www.thaihealth.or.th/?p=197350)
จากความพร้อมของข้อมูลที่ประเทศไทย โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ทำการสำรวจการใช้เวลาของประชากรไทย ทำให้สามารถฉายภาพพฤติกรรมการเคลื่อนไหวภายในกรอบ 24 ชั่วโมง ในระดับประเทศได้ โดยในปี 2015 ประชากรไทยมีกิจกรรมทางกาย 8.60 ชั่วโมง (คิดเป็น 35.8%) พฤติกรรมเนือยนิ่ง 5.96 ชั่วโมง (คิดเป็น 24.8%) และนอนหลับ 9.44 ชั่วโมง (คิดเป็น 39.3%)5 โดยเมื่อเทียบกับผลการสำรวจฯ ปี 2009 พบว่าพฤติกรรมเนือยนิ่งของประชากรไทยเพิ่มขึ้น 39.6 นาที และการนอนหลับเพิ่มขึ้น 14.4 นาที ซึ่งนั่นหมายถึงกิจกรรมทางกายของประชากรไทยลดลง 54 นาทีต่อวัน5 โดยรูปแบบการเคลื่อนไหวของคนไทยที่เปลี่ยนไปก็สอดคล้องกับแนวโน้มการเคลื่อนไหวในหลายๆ ประเทศทั่วโลก ที่ประชากรเริ่มมีวิถีชีวิตเนือยนิ่งมากขึ้นและกระฉับกระเฉงน้อยลง ซึ่งแน่นอนว่า การเพิ่มขึ้น/ลดลงของพฤติกรรมย่อมส่งผลต่อความเสี่ยงทางสุขภาพต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า เมื่อกิจกรรมทางกาย (ทั้งระดับเบา กลาง และหนัก) ถูกทดแทนด้วยพฤติกรรมเนือยนิ่ง (ตั้งแต่ 10–30 นาทีต่อวัน) จะทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดและโอกาสการเสียชีวิต5
จากเรื่องราวที่ร้อยเรียงผ่าน “ไดอารี่” สู่การถอดความเป็นบันทึกพฤติกรรมการเคลื่อนไหว เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันของทุกคน สามารถสะท้อนเป็นภาพเคลื่อนไหวที่มีทั้งกระโดดโลดเล่น เนือยนิ่ง และนอนหลับ เปรียบเสมือนเป็น ‘Active Diary’ เรื่องเล่าขยับได้ ที่ไม่เพียงเติมลูกเล่นให้กับสมุดบันทึกของเรา หากยังช่วยสะท้อนแนวโน้มสุขภาพ ที่ทำให้เราได้ตระหนักและดูแลทุกๆ นาทีของชีวิตตลอด 24 ชั่วโมงกันมากขึ้นอีกด้วย
รูป: พฤติกรรมการเคลื่อนไหวภายใต้กรอบการใช้เวลา 24 ชั่วโมง
ที่มา: Tremblay et al. (2017). Sedentary Behavior Research Network (SBRN) – Terminology Consensus Project process and outcome. International Journal of Behavioral Nutrition and Physical Activity, 14(1), 75.
อ้างอิง