“วันนี้วันดีปีใหม่ท้องฟ้าแจ่มใสพาใจสุขสันต์ ยิ้มให้กันในวันปีใหม่โกรธเคืองเรื่องใดจงอภัยให้กัน
หมดสิ้นกันทีปีเก่าเรื่องทุกข์เรื่องเศร้าอย่าเขลาคิดมัน ตั้งต้นชีวิตกันใหม่ให้มันสดใสสุกใหม่ทั่วกัน”
(บ้านคนรักสุนทราภรณ์, 2545, ออนไลน์)
เสียงเพลง “รื่นเริงเถลิงศก” บรรเลงเป็นสัญญาณว่า ดวงอาทิตย์ได้โคจรแปรโคจรเข้าสู่ราศีเมษอีกคำรบหนึ่ง บรรดาเสวนาสถานต่างพากันบรรเลงเพลงเพื่อเฉลิมฉลองในเทศกาลสงกรานต์ที่กำลังจะมาถึงและกำลังผ่านไปดังเช่นทุกปี พร้อม ๆ กับเพลงนี้ของวงสุนทราภรณ์ บทเพลงซึ่งมาพร้อมกับเทศกาลนี้เสมอ เหมือนเป็นสัญญาณป่าวร้องให้ผู้คนเตรียมพร้อมสำหรับมหกรรมสังสรรค์ระดับชาติอีกครา นอกจากการเฉลิมฉลองเนื่องจากเทศกาลสงกรานต์แล้ว อีกความพิเศษของปีนี้ คือ เป็นปีแรกแห่งการเฉลิมฉลองในฐานะที่ยูเนสโก UNESCO ได้ประกาศขึ้นทะเบียน ให้ “สงกรานต์ในประเทศไทย” เป็นรายการในบัญชีตัวแทนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, 2567, ออนไลน์)
ในทางกลับกันสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจ (2567) ได้เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อเทศกาลสงกรานต์ ปี 2567 จัดทำโดยสวนดุสิตโพล ระบุถึงสาเหตุที่ไม่เล่นน้ำในเทศกาลสงกรานต์ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า ไม่ต้องการเล่นน้ำเพราะกลัวถูกลวนลามและบางส่วนรู้สึกกลัวเพราะเคยมีประสบการณ์โดนล่วงละเมิดทางเพศถึง ร้อยละ 14.19 นอกจากนี้ เมื่อสอบถามต่อว่าในปี 2567 จะออกไปเล่นสงกรานต์หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 34.13 ของกลุ่มตัวอย่าง ไม่ต้องการออกไปเล่นสงกรานต์ เนื่องจากกังวลเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศ (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2567, ออนไลน์)
สถิติอันเกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศในเทศกาลสงกรานต์ที่ผู้เขียนสามารถค้นคว้าหาได้ในขณะนี้เป็นผลสำรวจจากเครือข่ายหญิงชายก้าวไกล เรื่อง ทัศนคติผู้หญิงไทยต่อเทศกาลสงกรานต์ปี 2559 อายุระหว่าง 10-40 ปี จำนวน 1,793 คน พบว่า ร้อยละ 51.9 ของกลุ่มตัวอย่าง เคยถูกลวนลาม คุกคามทางเพศ และถูกรบกวนจากผู้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ขณะที่ ร้อยละ 14.1 ของกลุ่มตัวอย่างกลับมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องปกติ และยอมรับกันได้ น่าตกใจเป็นอย่างมากที่สามารถมองเรื่องราวความรุนแรงเป็นสิ่งปกติได้ (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, 2559, ออนไลน์) ยิ่งไปกว่านั้นผลสำรวจจากนิด้าโพล เรื่อง “เทศกาลสงกรานต์ : การถูกลวนลาม - คุกคามทางเพศ” เมื่อปี 2560 จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 1,250 หน่วยตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 8.04 ของกลุ่มตัวอย่างเพศชายเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศ และ ร้อยละ 11.22 ของกลุ่มตัวอย่างเพศหญิงเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศเช่นกัน (นิด้าโพล, 2566, ออนไลน์) สถิติชุดสุดท้าย คือ ผลสำรวจความเห็นประชาชนในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ปริมณฑลเกี่ยวกับวันสงกรานต์ ในปี 2566 พบว่า ร้อยละ 87.9 ของกลุ่มตัวอย่าง เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศผ่านวาจา อาทิ การแซว หรือการใช้สายตาจ้องมอง ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดต่อผู้ถูกกระทำ โดยกว่า ร้อยละ 18.2 ของประชาชนที่สำรวจ ไม่อยากให้เกิดการล่วงละเมิดทางเพศ (มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล, 2566, ออนไลน์)
สถิติจากเทศกาลสงกรานต์เหล่านี้ถือเป็นหลักฐานชัดเจนที่แสดงให้เห็นการ “ถูกทำให้เป็นปกติ” ในสังคมไทยหรือไม่
ผู้เขียนจึงเกิดคำถามว่า “สังคมแบบใดที่อนุญาตให้มีการล่วงละเมิดทางเพศเป็นเรื่องปกติ” “วัฒนธรรมแบบใดที่อนุญาตให้ที่ยังคงหล่อเลี้ยงให้พฤติกรรมแบบนี้ยังคงอยู่ในสังคมไทย” และ “สงกรานต์กลายสภาพเป็นใบอนุญาตแห่งการล่วงละเมิดทางเพศไปแล้วหรือไม่”
ในเบื้องแรก ผู้เขียนใคร่ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “การล่วงละเมิดทางเพศ” ก่อน การล่วงละเมิดทางเพศ หมายถึง พฤติกรรมที่แสดงให้เห็นเจตนาประสงค์ล่วงเกินทางเพศใน 3 ลักษณะ ได้แก่ การล่วงละเมิดทางเพศด้วยวาจา (Verbal Harassment) การล่วงละเมิดทางเพศผ่านการกระทำที่ไม่ถูกเนื้อต้องตัว/กิริยาท่าทาง (Non-Verbal/Gestural Harassment) และ การล่วงละเมิดทางเพศผ่านการกระทำที่ชัดแจ้ง/สัมผัสร่างกาย (Physical Harassment) (ดวงพร เพชรคง, ม.ป.ป., น.1-2)
การล่วงละเมิดทางเพศ ถือเป็นความรุนแรงทางเพศประเภทหนึ่ง เนื่องจากมีลักษณะเหมือนกันดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นเช่นเดียวกัน ซึ่งหากวิเคราะห์และพิจารณาตามทฤษฎีความรุนแรงของ โยฮัน กัลตุง (Johan Galtung) (1996) ซึ่งชี้ให้เห็นความรุนแรง 3 แบบ (ภาพที่ 1) ประกอบด้วย
ภาพที่ 1 สามเหลี่ยมความรุนแรงของโยฮัล กัลตุง (Galtung, 1996)
โดยผู้เขียนขอเริ่มจากความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม เพื่อแสดงให้เห็นถึงรากเหง้าของวัฒนธรรมความรุนแรงและแตกกิ่งก้านสาขาออกมาเป็นความรุนแรงทางตรงและความรุนแรงเชิงโครงสร้างในภายหลัง
ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม หมายถึง ศาสนาและอุดมการณ์ ภาษาและศิลปะ วิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์และตรรกศาสตร์ ซึ่งมีส่วนในการรับรอง หนุนเสริม ความรุนแรงทั้งทางตรงและเชิงโครงสร้าง โดยทำให้ความรุนแรงนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ปกติ ถูกต้องและชอบธรรมแล้ว (Galtung, 1993, p. 37-79 อ้างถึงใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, 2557, น. 71-72)
ความรุนแรงทางวัฒนธรรมในสังคมไทยยังคงดำรงอยู่ เนื่องด้วยเป็นสังคมที่ยังคงไว้ซึ่งค่านิยม ความเชื่อ และวัฒนธรรมบางอย่างอันมีผลลัพธ์ คือ ความไม่เสมอภาคระหว่างเพศ (สุขุมา อรุณจิต, 2562, น. 176) การปรากฏถึงแนวคิดและวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ในโครงสร้างทางสังคมไทย เป็นส่วนสำคัญทำให้เกิดปัญหาความไม่เสมอภาคทางเพศ แม้ปัจจุบันสังคมไทยจะเข้าสู่ปี 2567 แล้ว แต่สังคมก็ยังติดกับพันธนาการแห่งวัฒนธรรมอำนาจชายเป็นใหญ่ ที่นับวันยิ่งหยั่งรากลึกและเหนี่ยวรั้งผู้คนในสังคมให้ตกอยู่ในวังวนเหล่านี้
ภาพที่ 2 โครงสร้างความรุนแรง (พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์, 2562)
ภาพที่ 2 ได้แสดงโครงสร้างความรุนแรงที่พัฒนา โดย พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์ (2562) ได้กล่าวถึงผลการวิเคราะห์การทำงานของวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ในสังคมไทย ผ่านสถาบันต่าง ๆ ในสังคม ไว้อย่างน่าสนใจและเห็นเป็นรูปธรรม เพราะเมื่อวัฒนธรรมอำนาจชายเป็นใหญ่อยู่ในระดับที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ได้กำลังทำงานผ่านสถาบันทางสังคมอย่างแยบยล ได้แก่ สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันสาธารณสุข สถาบันการเมืองการปกครอง สถาบันทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สถาบันศาสนา และสถาบันสื่อ จากนั้นสถาบันเหล่านี้จึงส่งต่อและมอบใบอนุญาตความรุนแรงให้สามารถดำรงอยู่ใช้ชีวิตต่อไปได้ในสังคมโดยที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
ทั้งนี้ผู้เขียนต้องการชี้ว่า สงกรานต์ กำลังทำหน้าที่อนุญาตส่งต่อความรุนแรงทางวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ ผ่านพฤติกรรมลวนลามและคุกคามทางเพศ แม้ว่าจะมีประชาชนสูงถึงร้อยละ 92.1 ทราบว่าการลวนลามและคุกคามทางเพศมีความผิดทางกฎหมายอาญาก็ตาม (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี, 2567, ออนไลน์) แต่พฤติกรรมการคุกคามทางเพศสามารถพบได้จนแทบจะกลายเป็นความปกติดาษดื่นในสังคม ซ้ำร้ายในบางกรณียังถูกทำเป็นเหตุการณ์ตลกชวนสังคมขำขันกับสิ่งที่เกิดขึ้น มากกว่าจะตระหนักถึงความรุนแรงที่กำลังทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้ด้อยค่าลงไป
อย่างที่กล่าวว่าความรุนแรงทางวัฒนธรรมไม่สามารถมองเห็นได้ชัดและมักซ่อนตัวผ่านสถาบันต่าง ๆ ในสังคม ซ้ำร้ายวัฒนธรรมความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมยังให้ความชอบธรรมแก่ความรุนแรงอีก 2 ประการ คือ ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง และความรุนแรงทางตรง
ความรุนแรงเชิงโครงสร้าง มีความแตกต่างกับความรุนแรงทางตรงที่การไม่ผูกขาดตัวบุคคลหรือผู้ที่กระทำความรุนแรงซึ่งกลายสภาพและมีชีวิตอยู่ในรูปแบบของอำนาจที่ส่งผลให้ไม่เสมอกันและทำให้ให้โอกาสของชีวิตแตกต่างกันไปด้วย (Galtung, 1959, p. 170-171 อ้างถึงใน ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, 2557, น. 59-62) โดยในประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศ สุขุมา อรุณจิต (2562) ได้เสนอไว้ 3 ประการ ที่เกี่ยวพันกับโครงสร้างทางสังคมที่หนุนเสริมความไม่เสมอภาคทางเพศ ดังนี้
ทั้ง 3 ประเด็น ต่างมีส่วนช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมอำนาจชายเป็นใหญ่และลดความสำคัญของเพศสภาพอื่น ๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความผิดปกติของสังคม ผ่านการครอบงำทั้งจากสถาบันทางสังคมต่าง ๆ ให้มนุษย์ในสังคมมีความคิดและความเชื่อคล้อยตามกันไป ซ้ำร้ายกว่านั้นประเด็นเหล่านี้ยังให้ความชอบธรรมกับความรุนแรงเหล่านี้อันจะเป็นใบอนุญาตให้ประเด็นต่าง ๆ เหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ในสังคมไทยต่อไป
ความรุนแรงประการสุดท้าย คือ ความรุนแรงทางตรง ความรุนแรงชนิดนี้เป็นความรุนแรงที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนทั้งผู้กระทำและผลลัพธ์ของผู้กระทำความรุนแรง โดยเฉพาะการกระทำความรุนแรงผ่านร่างกายของผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง เช่น การยิง การฆาตกรรม และการระเบิด เป็นต้น (ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, 2557, น.47) นอกจากความรุนแรงเหล่านี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ถูกกระทำแล้วยังมีส่วนส่งผลกระทบต่อทางด้านสภาพจิตใจของผู้ถูกกระทำด้วย อาทิ การข่มขืนสตรีที่นอกจากความรุนแรงประเภทนี้จะส่งผลกระทบทางด้านร่างกายแล้วยังส่งผลอย่างมากต่อทางด้านจิตใจของผู้ถูกกระทำด้วย (พัทธ์ธีรา นาคอุไรรัตน์, 2559, น. 34)
ทั้งนี้เมื่อมองผ่านสถิติการล่วงละเมิดทางเพศในเทศกาลสงกรานต์ ทั้งที่มาจากผู้เคยโดนล่วงละเมิดทางเพศและผู้ที่มีความกังวลว่าจะโดนล่วงละเมิดทางเพศตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ผู้เขียนสามารถอนุมานได้ว่า ผลของสถิติเหล่านี้ล้วนมาจากผลกระทบของความรุนแรงทางตรงที่ผู้ถูกกระทำมีประสบการณ์ทางใดทางหนึ่งมา และถึงแม้ว่าจะไม่มีสถิติอธิบายถึงจำนวนของผู้ถูกกระทำจากการล่วงละเมิดทางเพศในช่วงเทศกาลสงกรานต์อย่างชัดเจน แต่สถิติที่นำเสนอในบทความนี้ ก็พอจะเป็นประจักษ์พยานให้เห็นชัดแจ้งอย่างที่สุดแล้วว่า การล่วงละเมิดทางเพศยังคงอยู่ ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย และกลายเป็น “สิ่งปกติ” (หรือไม่) ในสังคมไทย
จากข้อมูลที่ผู้เขียนรวบรวมมานี้ สะท้อนให้เห็นว่า สถิติการล่วงละเมิดทางเพศในเทศกาลสงกรานต์ ไม่ได้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เฉย ๆ แต่ล้วนมีเหตุและปัจจัยทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะวัฒนธรรมอำนาจชายเป็นใหญ่ ที่หลบซ้อนเร้นในคราบของสังคม และสะท้อนออกมาให้เห็นโครงสร้างขนาดใหญ่ที่ทำงานสอดประสานกันอย่างดียิ่ง เพื่อส่งต่อวัฒนธรรมเหล่านี้ให้คงดำรงอยู่ได้ในสังคมต่อไป วิธีประการหนึ่งในฐานะประชากรธรรมดาในการตัดรากเร้นลึกนี้ออกไปด้วยวิธีง่าย ๆ คือการนิยามความรุนแรงเหล่านั้นให้ได้ ให้ความหมายความรุนแรงเหล่านั้นให้ได้ และรับรู้ต่อความรุนแรงเหล่านั้นให้ได้ พร้อมทั้งไม่วางเฉยต่อสถานการณ์อันจะนำมาซึ่งใบอนุญาตให้ผู้กระทำยังคงกระทำความรุนแรงต่อไปได้ และเผยแพร่ขยายพันธุ์ให้ความรุนแรงนี้ยังคงอยู่ในสังคมต่อไป
สุดท้ายนี้ “การล่วงละเมิดทางเพศ” เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นได้โดยไม่จำกัด เพศ อายุ ชนชั้นทางสังคม และสถานที่ ดังนั้นในฐานะประชาชนผู้หนึ่งในสังคม เราจำเป็นต้องมีทักษะในการรู้เท่าทัน นิยามได้ รู้สึกได้ และจำแนกได้ รวมทั้งต้องไม่วางเฉยต่อความรุนแรงดังกล่าวเพื่อเป็นส่วนสำคัญในการตัดรากวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่อันหยั่งลึกในสังคมไทยให้ขาดหายไป เพื่อร่วมสร้างสังคมที่ดีมีความเป็นธรรมต่อมนุษย์ทุกคน โดยไม่แบ่งแยกเพียงเครื่องเพศหรือรสนิยมทางเพศที่แตกต่างกันหากแต่เคารพกันในความเป็นมนุษย์ที่เสมอกันก็เพียงพอ
“ขอให้สุขสันต์ ทั่วกัน เอย เอ๋ย นอย ทิงนองนอย
น้อยหน่อยนอยน้อย หน่อยทิงนองนอย”
(บ้านคนรักสุนทราภรณ์, 2545, ออนไลน์)
เอกสารอ้างอิง
ภาพปก freepik.com (premium license)