ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัลก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วจนคนเราแทบจะตามไม่ทัน การพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งส่งผลให้เกิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น และมีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้นอีกด้วย ในยุคดิจิทัลอุปกรณ์อัจฉริยะเกิดขึ้นมากมาย และเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนไทยโดยไม่รู้ตัว และที่น่าสนใจคือ สามารถอำนวยความสะดวกการการดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น เครื่องปิ้งขนมปัง หม้อหุงข้าว นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ อีก เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เป็นไปอย่างรวดเร็วนี้ ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่มีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้เกิดขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้นด้วย
ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Waste หรือ E-waste) คือ ซากเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่หมดอายุการใช้งาน หรือใกล้หมดอายุที่เจ้าของไม่ต้องการอีกต่อไป1 จะตกไปอยู่ร้านขายของเก่าเพื่อแยกชิ้นส่วน หรือ โรงงานรีไซเคิล การที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้นนี้ ก่อให้เกิดกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามมาด้วย เนื่องจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ มีส่วนประกอบของสารปรอท ดีบุก ตะกั่ว หากนำไปฝังกลบสารเคมีต่างๆ จะปนเปื้อนลงในดินและแหล่งน้ำ เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต หากนำไปเผาจะเกิดก๊าซที่เป็นมลพิษที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และส่งผลกระทบต่อสุขภาพอีกด้วย
ข้อมูลจากรายงานประจำปี Thailand Digital Outlook ประจำปี 25662 โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่า เมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ3 หรือ OECD (Organization for Economic Cooperation and Development) ซึ่งปัจจุบันประเทศสมาชิกของ OECD มีทั้งหมด 38 ประเทศทั่วโลก ประเทศไทยเป็นหนึ่งในสมาชิกประเทศ OECD ที่มีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งถือว่าดี โดยประเทศที่มีอิเล็กทรอนิกส์น้อยที่สุด คือ ประเทศอินเดีย
แผนภูมิ: ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ (หน่วย: กิโลกรัมต่อประชากร)
ที่มาภาพ: รายงานประจำปี Thailand Digital Outlook ประจำปี 2566, หน้า 178
สำนัักงานคณะกรรมการดิิจิิทััลเพื่่อเศรษฐกิิจและสัังคมแห่่งชาติิ กระทรวงดิิจิิทััลเพื่่อเศรษฐกิิจและสัังคม.
อย่างไรก็ตาม เมื่อหันกลับมาพิจารณาเฉพาะประเทศไทยแล้ว จากรายงานสถานการณ์ของเสียอันตรายจากชุมชน ปี พ.ศ. 2564-25654 โดยกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่าประเทศเรากำลังจะมีแนวโน้มมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า เป็นต้น
ตาราง ปริมาณซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ประเภทผลิตภัณฑ์ | ปริมาณซากผลิตภัณฑ์ (ตัน/ปี) | |
---|---|---|
ปี 2564 | ปี 2565 | |
โทรทัศน์ | 90,010 | 96,190 |
เครื่องปรับอากาศ | 75,918 | 91,685 |
ตู้เย็น | 32,681 | 30,295 |
เครื่องซักผ้า | 85,715 | 95,453 |
คอมพิวเตอร์ | 53,629 | 49,909 |
โทรศัพท์ | 25,020 | 3,116 |
พัดลม | 59,980 | 59,494 |
หม้อหุงข้าว | 8,741 | 8,032 |
ไมโครเวฟ | 3,491 | 3,043 |
รวม | 435,185 | 437,217 |
ที่มา : รายงานสถานการณ์ของเสียอันตรายจากชุมชน ปี พ.ศ. 2564-2565, กรมควบคลุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การที่ขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้น นอกจากจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอีกด้วย ดังนั้นควรมีการรณรงค์ในเรื่องของพฤติกรรมการใช้ประโยชน์ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ โดยให้มีการใช้ประโยชน์ให้ได้อย่างคุ้มค่า ไม่เปลี่ยนอุปกรณ์บ่อยๆ เปลี่ยนเมื่อเสื่อมสภาพการทำงานเท่านั้น ผู้เกี่ยวข้องในด้านการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ ควรมีการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างถูกวิธี นอกจากนี้ภาครัฐควรมีการจัดหาจุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ให้ประชาชน พร้อมกับควรมีการรณรงค์ให้ทราบว่ามีจุดทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ใดบ้าง เพื่อประชาชนจะได้มีการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างถูกวิธี
อ้างอิง
ภาพประกอบ freepik.com (premium license)