Euthanasia หรือการุณยฆาต อาจเป็นชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นหูมากนักในปัจจุบัน เนื่องจากประเด็นดังกล่าวยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่และอาจจะไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมไทย แต่ในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจจะได้ยินคำดังกล่าวมากขึ้นเนื่องจากในปัจจุบันเริ่มมีการส่งเสริมเรื่องนี้กันบ้างแล้ว
การุณยฆาต หรือ Euthanasia มีต้นตอมาจากภาษากรีก ซึ่งประกอบด้วยคำ 2 คำนั่นคือ “Eu” แปลว่า Good และ “Thanatos” ซึ่งแปลว่า Death และเมื่อรวมคำเข้าด้วยกันจะได้ความหมายว่า การตายดี หรือตายอย่างสงบ หากดูในประเทศตะวันตก การการุณยฆาตมีข้อพิจารณาหลัก ๆ อยู่ 3 ข้อ นั่นคือ 1. เมื่ออยู่ในภาวะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส 2. สิทธิของบุคคลที่ต้องการจบชีวิตลง และ 3. บุคคลที่อยู่ในสภาวะช่วยตนเองไม่ได้ และไร้การรับรู้ทางสมอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าการการุณยฆาตนั้นไม่ใช่ว่าใครที่ต้องการแล้วจะสามารถทำได้ แต่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขมากมายก่อนที่จะทำการุณยฆาต
Euthanasia นั้นสามารถแบ่งประเภทหลัก ๆ ได้ 2 ประเภทคือ 1. Active Euthanasia (การการุณยฆาตโดยการกระทำ) เป็นการการุณยฆาตโดยการกระทำใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความตายอย่างตั้งใจ เช่น การใช้ยาทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตลง โดยการกระทำเช่นนี้มักมีการตัดสินใจและพิจารณาจากแพทย์หรือญาติในการกระทำดังกล่าว และ 2. Passive Euthanasia (การุณยฆาตโดยการไม่กระทำ) คือการยุติการรักษาทางการแพทย์ หรือหยุดการยื้อชีวิตของผู้ป่วยโดยไม่มีการดำเนินการใด ๆ เช่น การหยุดเครื่องช่วยหายใจ หรือหยุดยาที่จำเป็น1
และ Euthanasia นั้นยังสามารถแบ่งออกมาได้อีก 2 ประเภทตามการตัดสินใจได้อีกเช่นกันนั่นคือ
รูปภาพจาก: www.freepik.com
ในปัจจุบันนั้นเริ่มมีจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการ Euthanasia เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก จากข้อมูลของ Statista แสดงให้เห็นว่ามีจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการการุณยฆาตเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2021 จากปี 2019 โดยเฉพาะในประเทศแคนาดา ที่ถือว่าเป็นประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ จาก 4,480 รายในปี 2018 เพิ่มขึ้นเป็น 10,064 รายในปี 2021 รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่อาจจะไม่ได้มากเท่ากับประเทศแคนาดา
ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกนี้ ที่มีกฎหมายและมาตรการที่สนับสนุนการการุณยฆาตอย่างชัดเจน โดยในปัจจุบันนั้นมีเพียง 8 ประเทศที่ถูกต้องตามกฎหมาย3
ประเทศเหล่านี้อนุญาตให้มีการการุณยฆาตได้ แต่เงื่อนไขและข้อพิจารณานั้นแตกต่างกันออกไป โดยส่วนใหญ่หากร้องขอการการุณยฆาตนั้น มักจะมีการพิจารณาจากคณะกรรมการอีกอย่างมาก เพื่อเป็นการทบทวนเงื่อนไขและข้อกำหนดให้แก่ผู้ป่วยที่มีความต้องการ ในปัจจุบันหลายประเทศเริ่มมีการเปิดกว้างเกี่ยวกับการการุณยฆาต เนื่องจากเป็นการแก้ไขปัญหาผู้ป่วยและผู้สูงอายุได้ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล การรู้สึกหมดคุณค่าในตัวผู้ป่วย และที่สำคัญที่สุดผู้ป่วยที่ได้รับการการุณยฆาตนั้นจะไม่ทรมานหรือเจ็บปวดต่อไปอีก ซึ่งการการุณยฆาตนั้นเป็นวิธีและทางออกที่สงบที่สุดแก่ผู้ป่วยและผู้สูงอายุ
ในทวีปเอเชียเราอาจจะไม่ได้เห็นการการุณยฆาตกันมากนั้น เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ขัดกับหลักจริยธรรมและศาสนา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบาปบุญคุณโทษ หรือแม้กระทั่งจรรยาบรรณในการแพทย์ ทำให้ประเด็นดังกล่าวอาจจะยังไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมไทยสักเท่าไร ในญี่ปุ่นผู้สูงอายุโดดเดี่ยวส่วนใหญ่มักจะเลือกวิธีที่คล้ายกัน นั่นคือการฆ่าตัวตายหรือการนำตนเองไปทิ้งในกลางป่าเพื่อตัดภาระให้แก่ลูกหลานหรือแม้กระทั่งตนเอง แต่การกระทำเช่นนี้ไม่ได้ทำผู้สูงอายุนั้นตายอย่างสงบ อีกทั้งยังสร้างแผลในจิตใจให้แก่สมาชิกในครอบครัว ซึ่งการการุณยฆาตถือเป็นทางออกที่ผู้สูงอายุควรได้รับ และในอนาคตอันใกล้นี้ เมื่อเราจำเป็นต้องแบกรับภาระในการรักษาผู้ป่วยที่ไม่มีทางหาย รวมถึงผู้ป่วยนั้นยังได้รับความทรมานในการมีชีวิตอยู่ทุกวัน การุณยฆาตถือเป็นทางเลือกหนึ่งให้แก่ผู้ป่วยได้เช่นกัน
แม้ว่าในปัจจุบันอาจจะยังดูไกลตัวสำหรับประเทศไทย แต่ประเทศของเรานั้นมีกฎหมายที่รองรับเช่นกันนั่นคือ มาตรา 12 ได้มีเนื้อความระบุไว้ว่า “ผู้ป่วยที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต สามารถแสดงความประสงค์ที่จะไม่รับบริการทางการแพทย์ เช่น การใช้เครื่องมือทางการแพทย์ที่เป็นไปเพื่อยืดความเจ็บป่วยทรมานโดยไม่จำเป็น หากแต่ผู้ป่วยยังคงได้รับการดูแลจากแพทย์ พยาบาลตามความเหมาะสมเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและอาการต่าง ๆ” โดยบุคคลทั่วไปที่ปัจจุบันยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่ สามารถทำหนังสือแสดงเจตนาในการไม่รับการรักษาได้ทันที เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ในอนาคต
หากเราสามารถวางแผนการใช้ชีวิตมาได้ตลอดอายุขัยของเรา การวางแผนในช่วงระยะสุดท้ายของชีวิตนั้นก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
อ้างอิง