เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเราเริ่มได้ยินคำว่า คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และโทเคนดิจิทัล (Digital Token) กันบ่อยครั้ง ซึ่งหลายคนคงคุ้นหูกันบ้างแล้ว แต่อาจจะไม่รู้ความหมายว่ามันคืออะไร และมีประโยชน์อย่างไร อีกทั้งทำไมปีนี้กรมสรรพากรจึงต้องมีการเรียกเก็บภาษี ?
ที่มา : https://www.brandbuffet.in.th/2022/01/cryptocurrency-tax/
ในปีนี้ผู้เขียนได้เข้ายื่นภาษีแบบออนไลน์กับกรมสรรพากรประจำปี 2564 ซึ่งมีรายการที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกสะดุดตาในแบบฟอร์มหัวข้อจากการลงทุนที่ระบุโดดเด่นขึ้นมาในหน้าเว็บไซต์เป็นหัวข้อแรกคือ “ดอกเบี้ย เงินปันผลจากบริษัทต่างประเทศ ประโยชน์ใด ๆ จากคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัล เงินเพิ่มทุน เงินลดทุน (มาตรา 40(4))”
อันที่จริงแล้วประเทศไทยมีพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล มาตั้งแต่ พ.ศ. 2561 ให้ไว้ ณ วันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 “โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตามบทบัญญัติเพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งในมาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 33 มาตรา 37 และมาตรา 40 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย บัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” หมายความว่า ต้องมีการกำกับและการควบคุมการดำเนินกิจกรรมและการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมีความโปร่งใส อันจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ประกอบกับให้มีการคุ้มครองผู้ลงทุนและประชาชนที่เกี่ยวข้อง3 ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (หรือ ก.ล.ต.) นั่นเอง
เนื่องจากคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลถูกจัดเป็นเงินได้ที่เข้าเกณฑ์เสียภาษี ซึ่งตามมาตรฐานการเสียภาษีขั้นพื้นฐานแบบเดียวดอกเบี้ยเงินฝากหรือดอกเบี้ยเงินกู้4 ดังนั้นผู้ที่มีกำไรจากการขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลจึงต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 155 โดยกรมสรรพากรได้มีกำหนดจากกิจกรรมที่ต้องเสียภาษีประจำปี 2564 ไว้ 5 กิจกรรม6 ได้แก่
ทั้งนี้จะต้องทำการยื่นแบบผู้เสียภาษี ภ.ง.ด.90/91 ภายในวันที่ 31 มีนาคม ของปีถัดไป เสมือนเงินได้บุคคลธรรมดา
อย่างไรก็ตามในการออกกฎหมายเพื่อเรียกเก็บภาษีสินทรัพย์ดิจิทัลนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในเรื่องของความยุ่งยากและความไม่ชัดเจนในการเรียกเก็บหรือการคำนวณเงินที่ได้จากการลงทุน เพราะผู้ลงทุนในตลาดนี้มักมีจำนวนการทำธุรกรรมหลายครั้งต่อวันซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยากต่อการเก็บหลักฐานในการทำธุรกรรมแต่ละครั้งว่าได้กำไรหรือขาดทุน อีกทั้งยังเป็นการผลักภาระให้กับผู้ลงทุนที่ใช้กระดานเทรดของไทย ซึ่งจะต้องชี้แจงภาษีให้กับกรมสรรพากร ผู้เขียนเห็นว่า “กฎหมายไทยควรสนับสนุนหรือมีมาตรการที่คุ้มครองผู้ลงทุนให้มีความชัดเจนหรือลดหย่อนภาษีผู้มีรายได้จากส่วนนี้ด้วย แทนที่คนไทยจะสนับสนุนกระดานเทรดของไทย หากยังไม่มีความชัดเจนในกฎหมายหรือการคุ้มครองสิทธิประโยชน์คาดว่าจะมีนักลงทุนไทยที่หันไปใช้กระดานเทรดของต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีก็เป็นได้”
ที่มา : https://www.bbc.com/news/business-60339561
อ้างอิง
ณปภัช สัจนวกุล
ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ
สิรินทร์ยา พูลเกิด
สุภรต์ จรัสสิทธิ์
ศุทธิดา ชวนวัน
ณัฐจีรา ทองเจริญชูพงศ์
สุริยาพร จันทร์เจริญ
วรชัย ทองไทย