ในความคิดของใครหลายๆ คน การเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยน่าจะเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดช่วงหนึ่งของชีวิต ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเคยได้ใช้ชีวิตเป็นนิสิต-นักศึกษามาแล้วหรือไม่ เพราะช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เราข้ามพ้นความเป็นเด็กที่อาจถูกจำกัดอิสระในการเลือกทำอะไรหลายๆ อย่างด้วยตัวเอง และในขณะเดียวกันช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงที่เราได้เริ่มย่างก้าวเข้าสู่โลกกึ่งความเป็นจริง ที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความฝัน ความหวัง และพลังอันล้นเหลือ ในการที่จะนำพาชีวิตไปสู่จุดที่วาดหวังไว้ อย่างไรก็ตาม ความพิเศษของช่วงวัยนี้ อาจสร้างปมหักเหในชีวิตให้กับใครบางคนได้ เพราะความหอมหวานของโอกาส อาจนำมาซึ่งความกดดัน ความเครียด และความผิดหวัง จนเกิดเป็นความเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าที่กลายเป็นความเปราะบางของนิสิต-นักศึกษาไทยในปัจจุบัน
ปัญหาภาวะซึมเศร้าในกลุ่มนิสิต-นักศึกษาอาจไม่ใช่ปัญหาใหม่ในสังคมไทย แต่เป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นและยังไม่สามารถคลี่คลายได้ จากผลการสำรวจคุณภาพชีวิตและความสุขของนิสิต-นักศึกษา1 จากมหาวิทยาลัย 46 แห่งทั่วประเทศในปี 2566 ด้วยแบบสอบถามสุขภาพผู้ป่วย Patient Health Questionnaire 9 ข้อ หรือ PHQ-9 ซึ่งเป็นการประเมินระดับภาวะซึมเศร้าในขั้นต้น พบว่า จากจำนวนนิสิต-นักศึกษา 43,753 คน ร้อยละ 38.42 มีอาการที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า ในขณะที่ ร้อยละ 9.28 มีอาการค่อนข้างรุนแรงถึงรุนแรงมาก นอกจากนี้ นิสิต-นักศึกษาร้อยละ 14.44 เคยทำร้ายตัวเองหรือพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว และที่น่าตกใจ คือ นิสิต-นักศึกษาจำนวน 245 คน (ร้อยละ 0.56) รายงานว่าได้ทำร้ายตัวเองหรือพยายามฆ่าตัวตายทุกวัน (แผนภูมิ)
แผนภูมิ: สัดส่วนนิสิต-นักศึกษาที่มีอาการซึมเศร้า เคยทำร้ายตัวเองหรือพยายามฆ่าตัวตาย และแบ่งตามระดับความรุนแรงของภาวะซึมเศร้า (ออกแบบโดยใช้ www.canva.com)
ปัจจัยที่ทำให้นิสิต-นักศึกษามีความเปราะบางและเกิดภาวะซึมเศร้ามีได้หลายสาเหตุ ตั้งแต่กรรมพันธุ์ ความผิดปกติของสารเคมีในสมอง รวมไปถึงปัจจัยแวดล้อมที่เกิดมาจากการเรียนความสัมพันธ์ สภาพเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งผลการสำรวจฯ ได้แสดงถึงปัจจัยที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้าในกลุ่มนิสิต-นักศึกษาได้ เช่น ปัจจัยทางเพศ พบว่า นิสิต-นักศึกษาเพศหลากหลาย และเพศหญิงมีแนวโน้มที่จะมีอาการเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่านิสิต-นักศึกษาเพศชาย โดยเฉพาะในนิสิต-นักศึกษาเพศหลากหลายซึ่งมีความเปราะบางจากอัตลักษณ์ทางเพศ การถูกตีตรา และการถูกเลือกปฏิบัติที่แตกต่างจากสังคม ทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น2 ในขณะที่เพศหญิง ซึ่งเป็นเพศที่ละเอียดอ่อนและไวต่อความรู้สึก จึงแสดงออกต่อเรื่องราวรอบตัวได้ง่ายและชัดเจน และอาจทำให้แสดงความรู้สึก พร้อมทั้งแสวงหาความช่วยเหลือหรือที่พึ่งทางใจมากกว่าเพศชาย2
ความสัมพันธ์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญสำหรับเด็กวัยนี้ เพื่อนและครอบครัวที่เข้าใจคือเกราะป้องกันสำคัญที่สามารถปกป้องนิสิต-นักศึกษาจากการดำดิ่งลงไปในปัญหาได้ การขาดเพื่อนและครอบครัวที่ใกล้ชิดเปรียบเสมือนการขาดกำลังใจ ซึ่งอาจทำให้อุปสรรคจากการเรียนและการใช้ชีวิตของนิสิต-นักศึกษายากมากขึ้นเป็นเท่าตัว และอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้ในที่สุด นอกจากนี้ การทำงานพิเศษ สำหรับนิสิต-นักศึกษาในปัจจุบัน เป็นค่านิยมที่แสดงถึงการเติบโตและสร้างคุณค่าให้กับตนเองมากขึ้น การได้ทำงานระหว่างการศึกษาจึงเป็นข้อดีที่นอกจากจะช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ที่สามารถนำไปต่อยอดในการทำงานในอนาคตได้แล้ว ยังเป็นเหมือนภูมิคุ้มกันต่อภาวะซึมเศร้าได้อีกด้วย3
มหาวิทยาลัย ซึ่งเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของนิสิต-นักศึกษา จึงออกมาตรการดูแลสุขภาพใจของนิสิต-นักศึกษา ซึ่งจำเป็นต้องมีความครอบคลุม รอบด้าน และเข้าถึงได้ ตั้งแต่บริการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญตลอด 24 ชั่วโมง การอบรมให้ความรู้และส่งเสริมทักษะที่จำเป็นต่อการดูแลสุขภาพใจ การพัฒนากลไกเพื่อนดูแลเพื่อน การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพ ตลอดจนการพัฒนาเครือข่ายมหาวิทยาลัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างความต่อเนื่องและยั่งยืนในการป้องกันปัญหาและส่งเสริมสุขภาวะให้กับนิสิต-นักศึกษา รวมไปถึงบุคลากร ชุมชน และสังคมในวงกว้าง
เอกสารอ้างอิง
ภาพประกอบ freepik.com (premium license)
สุชาดา ทวีสิทธิ์
สุชาดา ทวีสิทธิ์
อมรา สุนทรธาดา
มนสิการ กาญจนะจิตรา
อมรา สุนทรธาดา
ภัสสร มิ่งไธสง
เสฎฐวุฒิ ยุทธาวรกูล
อมรา สุนทรธาดา
นฤมล เหมะธุลิน,อภิชาติ แสงสว่าง
พิมลพรรณ นิตย์นรา
วรชัย ทองไทย