“ผู้ลี้ภัย (Refugee)” หมายถึงบุคคลที่จำเป็นต้องอพยพไปยังประเทศอื่น มีสาเหตุจากความขัดแย้งทางการเมือง ศาสนา เชื้อชาติ สัญชาติ กลุ่มทางสังคม โดยผู้ลี้ภัยส่วนมากไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทางเนื่องมาจากความหวาดกลัวต่อการถูกจับกุมหรือการถูกคุกคามต่อชีวิต1 ผู้ลี้ภัยในประเทศไทยแบ่งเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรกคือ “ผู้ลี้ภัย” อาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวหรือค่ายผู้ลี้ภัยที่รัฐบาลไทยจัดหาให้ และมีสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugees: UNHCR)2 ดูแลเรื่องการอุปโภค-บริโภค การศึกษาและการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่สาม ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ลี้ภัยใน 9 ค่าย ผู้ลี้ภัยชายแดนไทย-เมียนมา 91,363 คน3 มาจากประเทศเมียนมา ส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยง กะเหรี่ยงแดงและพม่า บางคนเข้ามาตั้งแต่กลางทศวรรษ 1980 หลังจากเกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา ผู้ลี้ภัยไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากค่ายผู้ลี้ภัย และไม่สามารถทำงาน
กลุ่มที่สองคือ “ผู้ลี้ภัยในเมือง (Urban refugee)” เดินทางคนเดียวหรือกับครอบครัว หาที่พักในเขตเมืองด้วยตนเอง ตั้งใจเข้ามาขอสถานะ “ผู้ขอลี้ภัย (Asylum seeker)” เพื่อไปตั้งรกรากในประเทศที่สาม โดยมี UNHCR ช่วยดำเนินการ ขณะนี้มีผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยในเมือง จำนวน 5,155 คน จากประมาณ 40 ประเทศ ที่อาศัยในกรุงเทพมหานครและเขตเมืองโดยรอบ4
ประเทศไทยไม่ได้ลงนามเป็นภาคีสมาชิกกับอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย พ.ศ. 2494 และพิธีสาร พ.ศ. 2510 อีกทั้งยังไม่มีกรอบกฎหมายระดับชาติสำหรับการคุ้มครองเฉพาะสำหรับ “ผู้ลี้ภัย” ดังนั้นผู้ลี้ภัยจึงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายคนเข้าเมืองเช่นเดียวกับชาวต่างชาติอื่นๆ นอกจากนี้เอกสารรับรองสถานะผู้ลี้ภัยที่ออกโดย UNHCR นั้นไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐไทยส่งผลให้ผู้ลี้ภัยที่เข้าเมืองไม่ถูกกฎหมาย หรือทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน มีความเสี่ยงที่จะถูกจับกุม กักกัน และถูกส่งกลับไปประเทศต้นทาง
รูป: ผู้อพยพในเมือง: แม้เป็นการรอคอยที่ไร้พลังและสิ้นหวังจากซอกหลืบของสังคม ขอเพียงโอกาสในชีวิตอีกครั้ง
ที่มา: จับภาพนิ่ง: มาจาก https://vimeo.com/173200530 สืบค้นเมื่อ 8 มีนาคม 2565
ข้อมูลเบื้องต้นจากการวิจัยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในเมือง5 ทำการสัมภาษณ์ระดับลึกจาก ผู้ลี้ภัยในเมืองที่มาจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกา อาศัยในกรุงเทพฯและเขตเมืองของจังหวัดปริมณฑล พบว่าเกือบทั้งหมดหนีมาจากการถูกจับกุมหรือถูกคุกคามต่อชีวิตโดยรัฐบาลส่วนหนึ่งไม่สามารถนำเอกสารแสดงตนหรือพาสปอร์ตติดตัวมาในขณะที่มีบางส่วนที่เข้าเมืองโดยถูกกฎหมายแต่กลายเป็นผิดกฎหมายเพราะอยู่เกินอายุวีซ่าเนื่องจากกระบวนการอนุมัติสถานะผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยนั้นต้องใช้เวลา โดยเฉพาะช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีผู้ลี้ภัยในเมืองบางคนรอผลตอบรับจากประเทศที่สาม นานกว่า 10 ปี
ถึงแม้ว่า ผู้ลี้ภัยในเมืองที่ได้การรับรองสถานะผู้ลี้ภัยจาก UNHCR จะได้รับเงินช่วยเหลือด้านที่พัก และทราบว่าไม่มีสิทธิทำงานในประเทศไทย แต่ผู้ลี้ภัยในเมืองก็จำเป็นต้องหางานทำเพราะเงินช่วยเหลือหรือเงินเก็บที่มีนั้นไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ การศึกษานี้พบว่าผู้ขอลี้ภัยเกือบทุกคนมีประสบการณ์ถูกตำรวจเรียกตรวจหรือถูกจับกุม นอกจากนี้ยังมีประเด็นการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุข และการศึกษาของเด็กที่มีปัญหาในด้านค่าใช้จ่าย และการสื่อสารในโรงเรียน
ขณะนี้ รัฐบาลไทยกำลังจัดทำกลไกคัดกรองระดับชาติ และการบริหารจัดการผู้ลี้ภัย โดยเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐUNHCR และพันธมิตร ซึ่งคาดว่าผู้ลี้ภัยจะได้การดูแลและคุ้มครอง ที่สอดคล้องกับ “หลักมนุษยธรรมและการดูแลกลุ่มผู้เข้าเมืองอย่างผิดปกติที่หลากหลาย” ตามข้อตกลงโลกว่าด้วย “การโยกย้ายถิ่นฐาน ที่ปลอดภัย เป็นระเบียบ และปกติ” (Global Compact for Safe, Orderly and Regular Migration–GCM) เช่น ไม่ให้ถูกบังคับส่งกลับ และไม่ให้มีการจับกุมและควบคุมตัวโดยพลการ
อ้างอิง
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
ณัฐณิชา ลอยฟ้า
โยธิน แสวงดี
อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์
ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ
กาญจนา เทียนลาย
อมรา สุนทรธาดา
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ณปภัช สัจนวกุล
อมรา สุนทรธาดา
ฉัตรชัย วัฒนไชยประทีป