การกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอ เป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังของประชากรโลก1 แม้ว่าประเทศไทยจะติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก สำหรับประเทศที่มีการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ดี2 แต่จากการสำรวจระดับประเทศในปี 25573 กลับพบว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังคงกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอ คือ กินผักและผลไม้น้อยกว่า 5 ส่วนต่อวัน หรือไม่ถึง 400 กรัมต่อวัน ตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ4
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้จัดทำโครงการศึกษาพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทย และวิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 6,991 คน ซึ่งมาจากการสุ่มตัวอย่างของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ที่สามารถนำมาเป็นตัวแทนในระดับประเทศได้ โดยศึกษาปัจจัยทางประชากรและสังคมที่มีอิทธิพลต่อการกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอของประชากรไทยกลุ่มนี้
ผลการศึกษา ชี้ให้เห็นว่า เกือบ 2 ใน 3 ของคนไทย (ร้อยละ 65.5) กินผักและผลไม้ไม่เพียงพอ โดยกินเฉลี่ยเพียง 336.9 กรัมต่อวัน (จากคำแนะนำให้กินอย่างน้อย 400 กรัมต่อวัน) โดยปัจจัยด้านเพศ อายุ สถานภาพสมรส การศึกษา อาชีพ และรายได้ มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับการกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอของคนไทย
ผู้ชายมีแนวโน้มกินผักและผลไม้น้อยกว่าผู้หญิง5 ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างทางเพศ ในด้านความตระหนักด้านสุขภาพ และความจำเป็นในการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์6 ดังนั้นควรดึงดูดความสนใจของผู้ชาย โดยอาจเชื่อมโยงการกินผักและผลไม้เข้ากับการส่งเสริมความเป็นชาย เช่น การกินพืชผักช่วยในการเจริญเติบโตของกล้ามเนื้อ เป็นต้น
กลุ่มวัยที่มีอายุน้อย (15-29 ปี) และกลุ่มผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) มีแนวโน้มกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอมากกว่าวัยอื่น ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้านี้ ที่พบว่า บุคคลที่เข้าสู่วัยหนุ่มสาวจะเริ่มใช้ชีวิตอย่างอิสระและเสี่ยงต่อพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ7 ในขณะที่วัยผู้สูงอายุอาจเป็นผลเนื่องมาจากความพิการหรือความบกพร่องของการเคลื่อนไหว ซึ่งก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการแสวงหาผักและผลไม้มากิน
คนโสดมีแนวโน้มกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอมากกว่ากลุ่มคนที่แต่งงานแล้ว ซึ่งอาจเป็นเพราะความสัมพันธ์แบบสามีภรรยาสามารถเชื่อมโยงพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพซึ่งกันและกันของทั้งคู่ รวมทั้งส่งเสริมให้มีการรับประทานอาหารที่ดีสุขภาพด้วย8
คนกรุงเทพมหานครมีแนวโน้มกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอมากกว่าคนในพื้นที่อื่น อาจเนื่องจากชีวิตประจำวันของคนกรุงเทพถูกจำกัดด้วยเวลาและตารางการเดินทาง จำเป็นต้องกินอาหารนอกบ้าน และเลือกกินผักและผลไม้ได้น้อยลง9 ในขณะที่คนเมือง (ในเขตเทศบาล) และชนบท (นอกเขตเทศบาล) กลับไม่มีความแตกต่างในการกินผักและผลไม้มากนัก อาจเนื่องมาจากคนเมืองมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเข้าถึงผักและผลไม้ได้ไม่แตกต่างกับคนชนบท
กลุ่มพนักงานบริษัทเอกชนพบปัญหาการกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอมากที่สุด อาจเป็นเพราะที่ทำงานส่วนใหญ่มักจะมีสภาพแวดล้อมทางอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ ไม่เอื้อต่อการเข้าถึงผักผลไม้ได้ง่าย10
คนมีระดับการศึกษาสูงขึ้น และคนมีรายได้สูงขึ้นมีแนวโน้มกินผักและผลไม้ไม่เพียงพอลดลง11 อาจเนื่องมาจากคนกลุ่มนี้ อาจมีความความรู้ความตระหนัก และมีโอกาสในการเข้าถึงและสามารถซื้ออาหารเพื่อสุขภาพรวมไปถึงผักและผลไม้ได้มากขึ้นกว่ากลุ่มอื่น12
ที่มา:
Phulkerd, S., Thapsuwan, S., Thongcharoenchupong, N., Soottipong Gray, R. and Chamratrithirong, A. (2020), "Sociodemographic differences affecting insufficient fruit and vegetable intake: a population-based household survey of Thai people", Journal of Health Research, Vol. 34 No. 5, pp. 419-429.
จากงานวิจัย โครงการสำรวจติดตามพฤติกรรมการกินผักและผลไม้ของคนไทย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
อ้างอิง:
ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ
จงจิตต์ ฤทธิรงค์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
นิพนธ์ ดาราวุฒิมาประกรณ์
วริศรา ไข่ลือนาม
อมรา สุนทรธาดา
ปราโมทย์ ประสาทกุล
สาสินี เทพสุวรรณ์,สิรินทร์ยา พูลเกิด
สาสินี เทพสุวรรณ์
สิรินทร์ยา พูลเกิด
ศุทธิดา ชวนวัน
ปราโมทย์ ประสาทกุล
อมรา สุนทรธาดา
นงนุช จินดารัตนาภรณ์
สุชาดา ทวีสิทธิ์
วาทินี บุญชะลักษี
วรชัย ทองไทย
นุชราภรณ์ เลี้ยงรื่นรมย์
วิภาพร จารุเรืองไพศาล
สิรินทร์ยา พูลเกิด