เมื่อโควิด-19 ได้ทำให้ประชากรทุกกลุ่มวัยในทุกพื้นที่ทั่วโลก ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อรับมือและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์โรค(โควิด) เปลี่ยนโลก ที่ยังไม่รู้เลยว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อไร โควิด-19 นอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการว่างงานของประชากรแล้ว ยังทำให้ประชากรวัยทำงานไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ เมื่อคนวัยทำงานต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตและสถานที่ทำงานจากที่เคยทำงานในที่ทำงานมาเป็นทำงานที่บ้าน (work from home – WFH) โควิดระลอกใหม่ที่มีความรุนแรงมากขึ้นจากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ทำให้พวกเราต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในที่ทำงานมาเป็นทำงานที่บ้านเป็นระยะเวลานานกว่าโควิดระลอกแรก
การทำงานที่บ้าน (WFH) แน่นอนว่า ทำให้การพบปะกับเพื่อนร่วมงาน คนรอบข้าง หรือการเปิดโอกาสในการพบคนใหม่ๆ น้อยลง ซึ่งส่งผลต่อการลดลงของระดับภาวะเจริญพันธุ์ จำนวนคนโสดที่มีสัดส่วนสูงอยู่แล้วนั้น ยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้น มีคู่หนุ่มสาวหลายคู่จำเป็นต้องอยู่ห่างกันเพราะอาชีพการงาน ในขณะเดียวกันพบว่ามีคู่หนุ่มสาวอีกจำนวนไม่น้อยที่จำเป็นต้องเลื่อนการแต่งงานออกไปเพื่อรักษามาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม อย่างไรก็ตามผลของการ WFH ก็ได้ทำให้หนุ่มสาวบางคู่ได้ใช้โอกาสของการอยู่ร่วมกันนี้เพิ่มภาวะเจริญพันธุ์ให้กับประเทศของตน
นับวันสังคมไทยมีจำนวนหนุ่มสาวรุ่นใหม่อยู่เป็นโสดมากขึ้นตามจำนวนสายสีต่างๆ ของรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร เช่นเดียวกันกับการเพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุที่มีจำนวนสูงขึ้นเช่นเดียวกับความสูงของตึก แน่นอนว่า การที่มีคนอยู่เป็นโสดมากขึ้น แต่งงานช้าลง มีลูกน้อย หรือไม่ต้องการมีลูก ย่อมทำให้จำนวนการเกิดของประเทศไทยลดลง ในปี 2563 นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีจำนวนเกิดลดต่ำกว่า 6 แสนคนแล้ว1 กระทรวงสาธารณสุขได้พยายามรณรงค์ให้คนไทยปั๊มลูกเพื่อแก้ไขวิกฤตเด็กเกิดน้อยนี้ ในขณะเดียวกันเรื่องคุณภาพการเกิด ก็ยังเป็นสิ่งที่ยังคงต้องคำนึงถึงไปพร้อมกับการเพิ่มจำนวนเชิงปริมาณ
ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เนื่องในเทศกาลวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขได้มีการจัดแถลงข่าวงาน “Life Balance Smart Family” ชีวิตสมดุล ครอบครัวคุณภาพ2 เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการเกิด ด้วยความสมัครใจ เพื่อเพียงพอสำหรับทดแทนประชากร โดยมีการจัด 2 กิจกรรมให้กับประชาชนทั้งคนโสดและคนมีคู่ โดยมีการจัดกิจกรรมโสดมีตติ้ง เพื่อเปิดโอกาสให้คนโสดได้มาพบปะพูดคุยกัน และการให้คู่รักที่ต้องการมีบุตร ได้ลุ้นรับคูปองตรวจสุขภาพก่อนมีบุตร การตรวจคัดกรองภาวะมีบุตรยาก การเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยากจากโรงพยาบาลที่ให้การสนับสนุนโครงการ รวมถึงการมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอย่างใกล้ชิด นี่อาจจะเป็นภารกิจเพื่อชาติอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้สโลแกนที่ว่า “วิวาห์สร้างชาติ” และ “ปั๊มลูกเพื่อชาติ” แต่ผลของกิจกรรมดังกล่าว ก็ยังไม่ได้ถูกพูดถึงมากเท่าไรนัก และถ้าใครพอจะจำได้ว่า เมื่อสามสี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเรามีนโยบายส่งเสริมการเกิดภายใต้สโลแกนว่า “สาวไทยแก้มแดง มีลูกเพื่อชาติ ด้วยวิตามินแสนวิเศษ” โดยให้หญิงวัยเจริญพันธุ์ อายุ 20-34 ปีทุกคน ที่มีความพร้อมและตั้งใจหรือวางแผนมีลูกจะได้รับวิตามินแสนวิเศษเสริมธาตุเหล็กและโฟลิก พร้อมให้คำแนะนำการเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม นโยบายการส่งเสริมการเกิดดังกล่าวอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไรนัก เพราะจำนวนเกิดของประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
ที่มา: https://www.wiwahproject.com/RPH/Award.aspx?typ=1
แม้ว่าในหลายประเทศทั่วโลกทั้งในแถบเอเชียตะวันออก เช่น สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน และในประเทศแถบยุโรป เช่น สวีเดน นอร์เวย์ ออสเตรเลีย ที่ประสบกับปัญหาการลดลงของการเกิด และมีมาตรการส่งเสริมการเกิด ดังเช่น การให้เงินพิเศษสำหรับบุตร การลดหย่อนภาษี สิทธิลาคลอด ตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นขึ้น และการบริการศูนย์ดูแลเด็กเล็ก3 แต่นโยบายดังกล่าวกลับไม่ได้ผลเท่าที่ควร เช่นเดียวกับประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจากการลดลงของภาวะเจริญพันธุ์ไม่ได้เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่ง แต่มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้การเกิดลดลง ดังเช่นในประเทศเกาหลีใต้และไต้หวันที่พบว่าเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นหลัก
การเกิดที่มีแนวโน้มลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งสัญญาณว่า ในอนาคตสัดส่วนของการอาศัยอยู่คนเดียวของประชากรในกลุ่มวัยทำงาน หรือแม้กระทั่งวัยสูงอายุนั้นจะมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วและได้เข้าสู่สังคมสูงอายุ จากข้อมูลรูปแบบการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุขององค์การสหประชาชาติ4 พบว่าในปี 2560 มีผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ตามลำพังคนเดียวอยู่ประมาณร้อยละ 13.3 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในทวีปยุโรป สำหรับประเทศไทย จากข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย ปี 2560 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ลำพังคนเดียวอยู่ประมาณร้อยละ 11 ของประชากรทั้งหมด
ปรากฏการณ์การอยู่เป็นโสด และการอยู่ลำพังคนเดียว ได้ถูกนำมาเชื่อมโยงกันจนกลายเป็นเรื่องเดียวกันไปแล้ว ปัจจุบันปรากฏการณ์นี้ได้ถูกนำมาพูดถึงและถูกนำเป็นจุดขายในเชิงธุรกิจในปัจจุบัน ดังเช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้ใช้โอกาสนี้สร้างแคมเปญส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้โครงการ “ทัวร์คนโสด” “เส้นทางคนโสด Single Journey” #อย่าล้อเล่นกับความเหงา ในช่วงเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยมี 3 เส้นทางหลัก คือ 1. โสดสายมู ล่องเรือ ไหว้พระ หารัก 2. โสดสายแซ่บ ซีเคร็ด ไอแลนด์ เกาะลับไม่ห่างรัก และ 3. โสดสายชิลล์ รถไฟขบวนสุดท้าย เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศสไตล์คนโสด โดยชวนเฉพาะคนโสดมาร่วมทริปเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ผลพลอยได้จากการท่องเที่ยวนี้นอกจากได้ความสุขจากการท่องเที่ยวแล้ว อาจทำให้คนโสดโชคดีได้แฟนกลับบ้านด้วย (ทริปคนโสดจะมีเพิ่มเส้นทางอีกหลังโควิด-19 ใครเป็นคนโสดโปรดจงรอ)
ที่มา: https://thai.tourismthailand.org/Articles/เปิดเส้นทางคนโสด-single-journey
ขณะเดียวกันในภาคธุรกิจร้านอาหาร ได้เริ่มมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เราจะเห็นได้ว่า ปัจจุบันร้านค้าส่วนใหญ่ตั้งแต่ก่อนโควิด-19 หรือแม้กระทั่งในช่วงโควิด-19 ที่เราต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ร้านค้าต่างๆ ได้เริ่มเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไปยังคนที่ “ฉายเดี่ยว” มารับประทานอาหารที่ร้าน โดยจัดที่นั่งทานแบบทานคนเดียว ดังเช่น ร้านสุกี้ ปิ้งย่าง หรือหมูกระทะ ที่มีซิกเนเจอร์ในการนั่งทานกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง ก็ได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สามารถนั่งทานคนเดียว หรือเปิดช่องทางให้สั่งไปรับประทานที่บ้านได้ ต่อไปนี้ใครที่เป็นสายปิ้งย่าง สายชาบู ก็คงสามารถไปร้านอาหารคนเดียวได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องเขินอายอีกต่อไป
นอกจากนี้แล้ว ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่กำลังถูกพูดถึงกันอย่างมากเพื่อตอบโจทย์คนที่อยู่คนเดียวเพราะเป็นตัวช่วยที่ช่วยเยียวยาทางด้านจิตใจต่อประชากรทุกกลุ่มวัย มีงานวิจัยทางด้าน Pet Therapy ที่ช่วยยืนยันว่า สัตว์เลี้ยงช่วยสร้างความสุข คลายความเหงา บำบัดความเครียด ที่สำคัญคือช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ และโรคซึมเศร้าอีกด้วย5 ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าสัตว์เลี้ยงได้กลายมาเป็นสมาชิกหนึ่งในครอบครัว เรียกได้ว่าเป็น “Pet Humanization (มนุษยาภิวัตน์ของสัตว์เลี้ยง)”6 ไม่ได้เลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง หรือ Pet Lover เหมือนแต่ก่อน ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งคนที่แม้จะอยู่คนเดียว แต่ก็มีลูกหมา (ชื่อลูกหมี) ที่อยู่ด้วยกันทุกวันจนกลายเป็นสมาชิกในครอบครัวไปแล้ว รูปแบบการอยู่อาศัยกับสัตว์เลี้ยงน่าจะเป็นหนึ่งในรูปแบบการอยู่อาศัยที่มีความสำคัญมากขึ้นในครัวเรือนคนเดียวหรือครัวเรือนผู้สูงอายุในอนาคต
ภาพถ่ายโดย: ศุทธิดา ชวนวัน
ประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเป็นประเทศแรกๆ ในเอเชีย ที่คนในประเทศส่วนใหญ่โดยเฉพาะในวัยอายุ 30-40 ปี จะมีวัฒนธรรมแบบ “ตัวคนเดียว” (Solo Culture) ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง วัฒนธรรมการอยู่คนเดียวของคนญี่ปุ่นเรียกว่า “Ohitorisama” (โอฮิโตริซามะ) มาจากคำว่า Hitori ที่แปลว่า คนเดียว และคำว่า Sama ที่แปลว่า คุณหรือท่าน เมื่อนำสองคำมารวมกันจึงหมายถึง คนที่ชอบทำอะไรคนเดียว7 ทำอะไรด้วยคนเดียวหมดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกินข้าว ดูหนัง ท่องเที่ยว ฯลฯ และผู้สูงอายุในญี่ปุ่นกลุ่มนี้เอง ที่มีแนวโน้มเสียชีวิตคนเดียวอย่างเดียวดาย ที่เรียกว่า โคโดคุชิ (Kodokushi) จนปัจจุบันเกิดอาชีพใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในญี่ปุ่นที่เรียกว่า “Trauma Cleaner” หรือ “นักเก็บกวาดทำความสะอาดห้องคนตาย” ใครที่เป็นสาวกซีรีย์เกาหลีใน Netflix สามารถติดตามดูได้ในซีรีย์เรื่อง Move to heaven ที่ถ่ายทอดความหมายของการมีชีวิต และสะท้อนสังคมการอยู่ลำพังคนเดียว ในอนาคตอาชีพนี้อาจจะมีความสำคัญมากขึ้น เมื่อสังคมไทยกลายเป็นสังคมอยู่ตามลำพังคนเดียวอย่างเต็มตัว
ที่มา: https://www.patsonic.com/series/review-move-to-heaven/
การอยู่เป็นโสด มีโอกาสทำให้ต้องอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวในวัยสูงอายุ ในประเทศไทยมีผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่ต้องอยู่ตามลำพังคนเดียวจนถึงบั้นปลายชีวิต และมีแนวโน้มที่จะต้องเสียชีวิต (ตาย) คนเดียว การอยู่คนเดียวในช่วงวัยกลางคนอาจจะไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนักเพราะยังสามารถทำอะไรได้ด้วยตนเองและยังมีอาชีพมีงานทำ แต่การอยู่คนเดียวในวัยสูงอายุ เป็นอะไรที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างมาก ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจจะเจริญรอยตามวัฒนธรรมการอยู่คนเดียวของประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอีกหลายๆ ประเทศ เราอาจต้องมีการเตรียมตัวเพื่อรองรับสังคมสูงวัยสำหรับคนที่เป็นโสดและต้องอยู่ลำพังคนเดียว เพราะประชากรกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จำเป็นต้องเฝ้าระวังและควรได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
อ้างอิง
จงจิตต์ ฤทธิรงค์
จรัมพร โห้ลำยอง
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
วรรณี หุตะแพทย์
สิรินทร์ยา พูลเกิด
มนสิการ กาญจนะจิตรา
สิรินทร์ยา พูลเกิด
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
จงจิตต์ ฤทธิรงค์
ศุทธิดา ชวนวัน
ถิรวัฒน์ วรรณพฤกษ์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
สุรีย์พร พันพึ่ง,ตะวันชัย จิรประมุขพิทักษ์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ปัณณวัฒน์ เถื่อนกลิ่น