ในยุคสมัยที่ประเทศไทยกลายเป็นสังคมสูงวัย งานด้านบริการดูแลระยะยาว (long term care: LTC) สำ.หรับผู้สูงอายุจึงเป็นเรื่องปกติที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนมุ่งให้ความสำคัญ ทั้งนี้เพราะเรามีทั้งจำนวนและสัดส่วนของผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจากการที่ความยืนยาวของชีวิตที่ค่อยๆ สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อายุยืนยาวขึ้น ความสามารถในการดูแลช่วยเหลือตนเองของผู้สูงอายุก็ลดลงตามวัยที่สูงขึ้น นี่คือสัจธรรม
กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ร่วมกันดำเนินงานโครงการพัฒนาระบบดูแลระยะยาวด้านสาธารณสุขสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งหนึ่งในกระบวนการของการพัฒนาระบบดูแลระยะยาวนั้นจะต้องมีการคัดกรองผู้สูงอายุตามความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันใน 10 กิจกรรม ตามแบบฟอร์มที่ประยุกต์จากดัชนีบาร์เธลเอดีแอล (Barthel’s ADLs index) เพื่อระบุว่ามีภาวะพึ่งพิงในระดับใด สมควรจัดให้มีการดูแลช่วยเหลืออะไรบ้าง เราจะเห็นได้ว่า ความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุตามวิธีการนี้ เกิดจากฝ่ายผู้ให้บริการประเมินสภาวะของผู้สูงอายุตามเกณฑ์ (ทางวิทยาศาสตร์) ที่กำหนดขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้น หากจะเรียกความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุเช่นนี้ว่า เป็นความต้องการตามบรรทัดฐาน (normative need) ก็คงไม่ผิดอะไร
ยังมีความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุที่ไม่ได้ใช้เกณฑ์อะไรเข้าไปวัด แต่เกิดจากการที่ผู้สูงอายุรับรู้ หรือรู้สึกว่าต้องการจริงๆ ซึ่งตามอนุกรมวิธานของความต้องการทางสังคม1 เราเรียกความต้องการเช่นนี้ว่า ความต้องการตามความรู้สึก (felt need) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะธรรมชาติของทุกคนที่เมื่ออายุมากขึ้นย่อมต้องการใครสักคนดูแลเอาใจใส่ หรือบางครั้งก็มีความรู้สึกที่ไม่มั่นคงปลอดภัยเมื่อต้องทำกิจกรรมใดๆ โดยลำพัง เพราะกลัวการลื่นล้มเนื่องจากสายตาพร่ามัวหรือไม่แข็งแรงเท่ากับเมื่อครั้งวัยหนุ่มสาว ยิ่งกลัวก็ยิ่งเกิด โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เคยมีประวัติลื่นล้มมาก่อนมีโอกาสเกิดซ้ำๆ ได้อีก ปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้ผู้สูงอายุกลัวจนไม่กล้าทำอะไรด้วยตนเอง จึงต้องการใครสักคนเป็นเพื่อนคอยดูแล สร้างความมั่นใจ ความอบอุ่นใจ ทั้งๆ ที่ยังสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง
ผู้เขียนเคยนำเสนองานศึกษาความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุจากการใช้นิยามที่แตกต่างกันในการประชุมวิชาการประชากรศาสตร์แห่งชาติ 2561 เรื่องที่นำเสนอคือ ‘การศึกษาความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุไทยเมื่อวัดจากความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรพื้นฐานกับคำถามโดยตรง’ ซึ่งเป็นการศึกษาจากข้อมูลการสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2550 2554 2557 และ 2560 โดยนิยามความต้องการการดูแลในสองลักษณะ คือ 1) การทำกิจวัตรพื้นฐานสามด้าน คือ กินอาหาร ใส่เสื้อผ้า (แต่งตัว) อาบน้ำ/ล้างหน้า (รวมการใช้ห้องน้ำ) หากผู้สูงอายุทำไม่ได้ด้วยตนเองเลย หรือทำได้แต่ต้องมีคน/อุปกรณ์ช่วย แม้เพียงกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง หมายถึงเป็นผู้ต้องการการดูแล และ 2) จากคำถามที่ถามว่า ต้องการผู้ดูแลปรนนิบัติการทำกิจวัตรประจำวันหรือไม่ หากตอบว่า ต้องการ หมายถึงเป็นผู้ที่ต้องการการดูแล
แผนภูมิ 1: ร้อยละความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุไทย จำแนกตามวิธีการประเมิน และปีที่สำรวจ
จากแผนภูมิ 1 แสดงให้เห็นว่า ในช่วง พ.ศ. 2550–2560 ความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุไทยมีความแตกต่างกันระหว่างการประเมินตามเกณฑ์ (จากการทำกิจวัตรพื้นฐาน) กับการประเมินตามความรู้สึก (คำถามโดยตรง) ร้อยละความต้องการฯ เมื่อประเมินตามเกณฑ์นั้นอยู่ที่ราวร้อยละ 3–5 ขณะที่ร้อยละความต้องการฯ เมื่อประเมินจากคำถามโดยตรงนั้นสูงถึงร้อยละ 8–15 ความแตกต่างที่พบนี้นับว่าค่อนข้างมากทีเดียว
นอกจากนี้ ผู้เขียนยังได้ทำการวิเคราะห์เพิ่มเติมเพื่อแสดงความไม่สอดคล้องของการประเมิน กล่าวคือ ไม่ว่าจะใช้การประเมินแบบใด หากผลการประเมินจากวิธีหนึ่งบอกว่าไม่ต้องการการดูแล แต่ผลการประเมินจากอีกวิธีหนึ่งบอกว่าต้องการการดูแล ผลเช่นนี้เรียกว่ามีความไม่สอดคล้องกัน ซึ่งพบว่า มีความไม่สอดคล้องของการประเมินความต้องการการดูแลในปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 9 และค่อยๆ ลดลงจนเหลือร้อยละ 3 ในปี 2560 (ดูแผนภูมิ 2)
แผนภูมิ 2: ความสอดคล้องของการประเมินความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุไทย จากความสามารถในการทำกิจวัตรพื้นฐานกับประเมินจากคำถามโดยตรง จำแนกตามปีที่สำรวจ
กล่าวโดยสรุป ความต้องการการดูแลของผู้สูงอายุเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วิธีการประเมินความต้องการนี้สามารถทำได้ด้วยวิธีการที่ต่างกัน ซึ่งผลที่ได้ย่อมต่างกันไม่มากก็น้อย หากว่าเราสามารถพัฒนาเครื่องมือที่ไม่ว่าจะประเมินด้วยวิธีใดแล้วให้ผลตรงกัน คงเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด
ที่มา
จงจิตต์ ฤทธิรงค์
สิรินทร์ยา พูลเกิด
ปราโมทย์ ประสาทกุล
พรสุรีย์ จิวานานนท์
ศุทธิดา ชวนวัน
กัญญา อภิพรชัยสกุล
ปราโมทย์ ประสาทกุล
จรัมพร โห้ลำยอง
สุดปรารถนา ดวงแก้ว
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ชิษณุพงษ์ สรรพา
สุรีย์พร พันพึ่ง,ตะวันชัย จิรประมุขพิทักษ์
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ปราโมทย์ ประสาทกุล
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
มงคล ธงชัยธนาวุฒิ