บทความสั้นๆ นี้ เป็นการต่อยอดความคิดเรื่องการทดแทนประชากรของไทยโดยประชากรและแรงงานต่างชาติ (Replacement migration) ของศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.อภิชาติ จำรัสฤทธิรงค์ ที่ท่านเคยนำเสนอไว้ในหลายๆ โอกาสและหลายๆ วาระ ทั้งบนเวทีสัมมนา บทความ และการพูดคุย แต่ใช้คำว่า ต่อยอดความคิด จะถูกต้องไหมนะ เพราะบทความนี้จะพาทุกท่านย้อนไปในอดีต โดยจะนำเสนอถึงเหตุการณ์ในอดีตที่สะท้อนให้เห็นว่า มีปรากฏการณ์การนำเข้าประชากรต่างชาติต่างภาษาจากต่างเมืองเข้ามาเป็นประชากรไทยมานานร้อยๆ ปีแล้ว เป็นการสนับสนุนแนวคิดของอาจารย์อภิชาติจากข้อมูลประวัติศาสตร์
แนวคิดการนำเข้าประชากรต่างชาติมาเป็นประชากรของประเทศ เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ไทยมานานแล้ว ในอดีต เหตุผลของการสงครามของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่เพียงการสู้รบเพื่อต้องการดินแดนเพิ่มหรือเพื่อเป็นการป้องกันตนเองเท่านั้น แต่ยังมีเหตุผลอื่นแฝงอยู่ นั่นคือ ความต้องการเพิ่มจำนวนประชากร ด้วยการกวาดต้อนผู้คนทั้งที่เป็นทหารฝ่ายตรงข้ามและชาวบ้านตามเมืองต่างๆ ที่กองทัพเคลื่อนผ่าน หรือที่เราเรียกว่า เชลย กลับมายังแผ่นดินไทย อีกทั้งยังมีการเกณฑ์คนต่างชาติที่อาศัยในพื้นที่ตามแนวชายแดนที่ในขณะนั้นเป็นดินแดนของไทยเข้ามาเช่นกัน (เช่น คนลาวที่อยู่ในเมืองบริเวณฝั่งซ้ายขวาของแม่น้ำโขง คนเขมรที่อยู่ในเมืองชายแดนติดกัมพูชา) ซึ่งเหตุผลสำคัญของการกวาดต้อนคนก็คือ เพื่อมาเป็นพลเมืองของประเทศ โดยส่วนหนึ่งเป็นการทดแทนคนไทยที่สูญเสียไปในการสงคราม ทั้งจากการเสียชีวิตและจากการถูกกวาดต้อนเป็นเชลยไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ เพื่อเป็นแรงงาน โดยเฉพาะชายฉกรรจ์ ที่เป็นกำลังสำคัญทางทหารและเศรษฐกิจ
ทำไมทั้งสังคมอยุธยา กรุงธนบุรี และรัตนโกสินทร์จึงต้องการแรงงาน ในสมัยอยุธยา ภาครัฐต้องการแรงงานในงานโยธาต่างๆ เช่น ขุดคลอง สร้างวัด สร้างวัง รวมถึงเป็นแรงงานให้เจ้าขุนมูลนายในการทำไร่ทำนา ในสมัยกรุงธนบุรี สมัยต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นระยะของการสร้างบ้านแปงเมืองใหม่แทนกรุงศรีอยุธยาที่เสียหายเกินที่จะบูรณะ จึงต้องการแรงงานเพื่อสร้างบ้านเมืองใหม่1 ทั้งพระราชวัง วัดวาอาราม วังเจ้านาย บ้านเรือนของขุนนาง เพราะไทยหรือสยามในเวลานั้นได้สูญเสียประชากรไปจำนวนมากจากการสู้รบและการถูกกวาดต้อนเป็นเชลยไปยังประเทศพม่า ทำให้ขาดแรงงาน
สังคมไทย ณ ช่วงเวลานั้นยังเป็นระบบไพร่ ชายฉกรรจ์ต้องเข้าเดือนเพื่อเป็นไพร่หลวง ไพร่สม โดยไพร่เหล่านี้จะเป็นแรงงานให้รัฐ และมูลนายที่สังกัด นอกจากนี้ ยังมีไพร่ส่วยที่ไม่ต้องมาเป็นแรงงาน แต่ส่งส่วยเป็นเงินหรือผลิตผลที่มีค่าซึ่งในสมัยนั้นมักเป็นของป่า เช่น ไม้ฝาง ไม้กฤษณา งาช้าง หนังสัตว์ และเครื่องเทศต่างๆ แทนการเข้าเดือน ส่วยเหล่านี้เป็นสินค้าซึ่งเป็นที่ต้องการของต่างประเทศ
นอกจากการเกณฑ์คนจากสงครามที่เป็นการบังคับมา ยังมีผู้ที่เข้ามาเป็นประชากรของไทยอย่างสมัครใจ โดยมักเป็นผู้ที่หนีภัยทางการเมืองมา เช่น ราชวงศ์ของญวน (หนีกบฏไตเซินเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยกรุงธนบุรี และต้นรัตนโกสินทร์) ราชวงศ์ลาวและขุนนางลาว ที่หนีภัยการเมืองจากความขัดแย้งภายในประเทศ (ระหว่างนครเวียงจันทน์ หลวงพระบาง และนครจำปาศักดิ์) รวมถึงราชวงศ์และขุนนางเขมร ดังเช่น
หรือชาวมอญที่มีความขัดแย้งกับพม่าก็หนีภัยจากเมาะตะมะเข้ามายังแผ่นดินไทย
อีกทั้งยังมีผู้เข้ามาเพราะหนีภัยจากการเข้ารีตกับคริสตจักรซึ่งขัดกับนโยบายของผู้ปกครองในสมัยนั้นที่ประกาศห้ามคนในประเทศนับถือศาสนาคริสต์ เช่น ชาวญวนที่นับถือคริสต์นิกายคาทอลิก
ประชากรต่างชาติที่เข้ามานี้ ได้มีการจัดสรรที่อยู่ให้โดยเฉพาะ มีทั้งอยู่ในเขตพระนคร เมืองใกล้เคียง และตามหัวเมืองต่างๆ โดยพิจารณาจากความมั่นคง และเศรษฐกิจ ประชากรเหล่านี้สามารถดำรงวิถีชีวิต สืบสานความเชื่อ และวัฒนธรรมดั้งเดิมของตน ไม่ว่าจะเป็นชาวมอญที่ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ คนญวนที่อยู่ในเขตพระนคร บริเวณสามเสน บางโพ และที่จันทบุรี หรือชาวลาวที่แยกย้ายอยู่ในพนัสนิคม นครนายก สระบุรี4 ซึ่งในปัจจุบัน เรายังเห็นผู้สืบเชื้อสายของประชากรเหล่านี้ยังคงปฏิบัติตามประเพณีตามความเชื่อของตนอยู่ (เช่น ประเพณีสงกรานต์และการเล่นสะบ้าของชาวมอญพระประแดง)
ในอดีต มีผู้ย้ายถิ่นที่มีฝีมือ (Skilled migrants) เข้ามาอยู่ในประเทศเช่นกัน จากการเข้ามาของคนในราชสำนักและขุนนางของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมักนำผู้มีความรู้ความสามารถด้านต่างๆ รวมถึงศิลปวัฒนธรรมติดตามเข้ามาด้วย ทำให้มีการถ่ายทอดมาศิลปวัฒนธรรมสู่กัน เราจึงเห็น ศิลปการร่ายรำของไทยกับเขมรที่มีความคล้ายคลึงกัน
ส่วนที่เป็นแรงงาน (Low-skilled migrants) มักเป็นผู้ที่ถูกกวาดต้อนเข้ามาและเข้าสู่ระบบไพร่ มีมูลนายดูแล ซึ่งนอกจากผู้ถูกกวาดต้อนเข้ามาดังกล่าวแล้ว ยังมีชาวจีนที่หนีความอดอยากขัดสนที่เมืองจีนเข้ามาเป็นแรงงานรับจ้างด้วยเช่นกัน โดยเข้ามาเป็นแรงงานเพื่อขุดคลอง ซึ่งเป็นการขยายเส้นทางการคมนาคม หรือ เพื่อเป็นแหล่งน้ำการปลูกข้าวที่เริ่มเป็นสินค้าออกสำคัญ เช่น คลองดำเนินสะดวก คลองรังสิต รวมถึงการตัดถนนตามแนวคิดการพัฒนาอย่างตะวันตก เช่น ถนนเจริญกรุง บำรุงเมือง เฟื่องนคร ถนนราชดำเนิน
ประชากรและแรงงานต่างชาติเหล่านี้ สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนไทยได้อย่างไม่มีปัญหาหรือมีปัญหาน้อยมาก สามารถกลมกลืนเข้ากับสังคมไทย และมีความรู้สึกถึงความเป็นพลเมืองของประเทศไทย ส่วนหนึ่งอาจเนื่องจากสังคมเดิมที่จากมาและสังคมใหม่ที่เข้ามาอยู่มีวิถีชีวิตที่ไม่ต่างกันมาก อีกทั้งผู้ที่เข้ามายังสามารถดำรงวิถีชีวิตตามความเชื่อ ขนบธรรมเนียมของตนได้ ซึ่งรวมถึงการนับถือศาสนาตามนโยบายของรัฐไทยในขณะนั้น ทำให้ไม่มีความรู้สึกแปลกแยก นอกจากนี้ ณ เวลานั้น ความรู้สึกความเป็นชาติที่ก่อให้เกิดความเป็นชาตินิยม หรือลัทธิประชาชาตินิยม (National populism) ยังมีไม่มากหรือไม่รุนแรงมากนัก ทำให้คนไทยไม่มีอคติที่รุนแรงต่อคนต่างชาติต่างภาษาที่มาจากต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งเหตุผลหลังนี้ น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้คนต่างชาติพันธุ์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา เป็นสังคมพหุลักษณ์ที่ไม่มีปัญหารุนแรง เพราะแม้จะมีปัญหาขัดแย้งกับภาครัฐจากการขยายอิทธิพลของคนบางกลุ่มบ้าง แต่ก็สามารถแก้ไขได้และสงบลงได้ในที่สุด เช่น การเกิดขบวนการอั้งยี่ของชาวจีน
ภาพถ่ายมุมกว้างจากภูเขาทองมองไปยังฝั่งกรุงเทพมหานคร สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นภาพถ่ายโดยชาวต่างประเทศ เชื้อชาติสวิส ชื่อ โรซิเยต์
ที่มา https://pantip.com/topic/30000543
บทความนี้เป็นการนำเสนอให้เห็นว่า การให้คนต่างชาติเข้ามาเป็นประชากรไทย ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่มีการปฏิบัติมานานแล้วในอดีต และสามารถทำได้ ซึ่งเงื่อนไขที่ทำได้ในอดีตอาจไม่เหมือนกับเงื่อนไขของปัจจุบันที่มีความซับซ้อนมากกว่า ทั้งเรื่องของความรู้สึกอคติ กฎหมาย แต่หากพิจารณาจากแนวคิดของท่านอาจารย์อภิชาติ ก็มีความเป็นไปได้ เพียงแต่ต้องมีระบบการจัดการที่ดี มีการสร้างทัศนคติที่ดีต่อประชากรเหล่านี้ และต้องมีระบบการจัดการที่ดี
เราอาจต้องเรียนรู้จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีต และนำมาปรับใช้กับปัจจุบันให้เหมาะสมตามเงื่อนไขที่เป็นอยู่ สิ่งที่คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ก็น่าจะเป็นไปได้
อ้างอิง
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
ณัฐณิชา ลอยฟ้า
โยธิน แสวงดี,ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ
สักกรินทร์ นิยมศิลป์
อมรา สุนทรธาดา
ภูเบศร์ สมุทรจักร
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
อารี จำปากลาย
จงจิตต์ ฤทธิรงค์
อมรา สุนทรธาดา
วรเทพ พูลสวัสดิ์
ขวัญชนก ใจซื่อกุล
อมรา สุนทรธาดา
นงเยาว์ บุญเจริญ
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
กุลภา วจนสาระ
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ภัสสร มิ่งไธสง