The Prachakorn

เมื่อเด็กและเยาวชนหลุดออกจากระบบการศึกษา: จะทำอย่างไรให้น้องได้ไปต่อ?


นิสาพร วัฒนศัพท์

01 พฤศจิกายน 2564
671



ปัญหาเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยทำให้เด็กและเยาวชนกลุ่มหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ และกลายเป็น “เด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา (Out of School Children and Youth: OOSCY)” และถูกจำกัดโอกาสหลายอย่างในชีวิต เช่น โอกาสในการทำงาน อาชีพ รายได้ ฯลฯ

การศึกษาจากข้อมูลจากระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) พบว่า พ.ศ. 2562 มีเด็กและเยาวชนที่ไม่มีชื่ออยู่ในระบบการศึกษาจำนวนถึง 11.7 ล้านคน ซึ่งเป็นเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาในช่วงอายุ 3-17 ปี จำนวน 1.2 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 10.1 (กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, 2564)  คาดการณ์ว่าเมื่อสิ้นปีการศึกษา 2564 จะมีเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาเป็นจำนวนถึง 65,000 คน อันเนื่องมากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า-19 (สยามรัฐ, 2564) จึงเกิดคำถามว่า จะดูแลเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาเหล่านี้อย่างไร

“น้องฟูกยุบ” เป็นกรณีตัวอย่างของเด็กอายุ 15 ปี ที่อาศัยอยู่กับตาและยายประกอบอาชีพประมงพื้นบ้าน แม้น้องจะเป็นเด็กเรียนดี แต่ต้องหยุดเรียนหลังจากที่เรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เนื่องจากบ้านอยู่ไกล การเดินทางยากลำบากทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง ตายายเป็นห่วงความปลอดภัยของหลานสาวมากจึงไม่อนุญาตให้ไปเรียน น้องจึงอยู่แต่ในบ้าน นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่เฉย ๆ จนฟูกที่นอนยุบ

ปัญหาที่ทำให้เด็กและเยาวชนไม่อยู่ในระบบการศึกษานั้นมีความซับซ้อน ทั้งปัญหาที่เกิดจากตัวเด็กเองและปัญหาที่เกิดจากครอบครัวจนทำให้เด็กไม่สามารถอยู่ในระบบการศึกษาได้ เมื่อการแก้ปัญหานี้ไม่ใช่บทบาทหน้าที่ของส่วนงานใดส่วนงานหนึ่งโดยตรงและตัวเด็กอาศัยอยู่ในพื้นที่ ดังนั้น “พื้นที่” (ซึ่งพื้นที่ในที่นี้หมายถึงระดับจังหวัด) จึงถูกคาดหวังว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหานี้ เมื่อพ.ศ. 2562 กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ได้ทำงานร่วมกับ 20 จังหวัดนำร่อง1  เพื่อดำเนินโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาที่ใช้พื้นที่เป็นฐานปฏิบัติการทดลองทำงานเพื่อดูแลกลุ่มเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา

ที่มา: https://research.eef.or.th/?s=ABE+NEWS

ระบบการดูแลแบบรายกรณีระดับพื้นที่ หรือที่เรียกว่า Area-Based Case Management System นี้ถูกนำมาเป็นกระบวนทำงานที่จะพัฒนาระบบประกบตัวเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาแต่ละคนจนกว่าจะสามารถไปต่อในชีวิตได้ โดยเป็นการประยุกต์ใช้แนวคิด 2 แนวคิด คือ การจัดการเชิงพื้นที่ (Area-Based Approach) และการจัดการรายกรณี (Case Management System : CMS) ที่เหมาะจะนำมาใช้ทำงานกับกลุ่มที่มีปัญหาซับซ้อนและจำเป็นต้องได้รับบริการที่หลากหลายและครอบคลุมในหลายมิติของชีวิต

การดูแลรายกรณีระดับพื้นที่เพื่อดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา เป็นการพัฒนาระบบและกลไกการทำงานของพื้นที่ผ่านกลไก 3 กลไก ได้แก่

  1. Core team ถือเป็นแกนกลางสำคัญของการขับเคลื่อนงาน เนื่องจากต้องทำหน้าที่เป็นทั้งหัวขบวนการทำงานและยังทำหน้าที่เป็นเลขานุการของการทำงาน ทั้งงานในภาพรวมและงานของคณะกรรมการ CMS ดังนั้นแกนนำต้องเข้าใจกระบวนการทำงานด้วยระบบ Area-Based Case Management System ก่อนจึงจะสามารถไปขับเคลื่อนกลไกอื่น ๆ รวมถึงพัฒนาระบบการดูแลแบบรายกรณีระดับพื้นที่ได้ นอกจากนี้แกนนำยังทำหน้าที่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงให้กับ CM ด้วย จะเห็นได้ว่าบทบาทของแกนนำมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการทำงานที่ยังไม่มีเจ้าภาพหลักนี้ ดังนั้นหากจะให้เกิดแกนนำในการทำงาน จึงควรต้องกำหนดให้เป็นงานในหน้าที่ เพื่อให้มีเจ้าภาพที่จะมาดูแลเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้


    ภาพ ตัวอย่างความเห็นจากน้องที่ได้รับโอกาสเพื่อการศึกษาผ่านระบบการดูแลแบบรายกรณีระดับพื้นที่
    (ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่จากนักวิจัย)
     
  2. คณะกรรมการดูแลเด็กรายกรณี หรือ คณะกรรมการ Case Management System (CMS) ซึ่งเป็นทีมสหวิชาชีพที่มาจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม โดยมีบทบาทในการให้คำแนะนำ ส่งต่อ case และร่วมช่วยเหลือ case ตามบทบาทหน้าที่และเครือข่ายที่มี ซึ่งในโครงการฯ นี้ได้ออกแบบให้มีกลไกคณะกรรมการ CMS 3 ระดับ ได้แก่ คณะกรรมการ CMS ระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด
  3. ผู้จัดการรายกรณี (Case Manager: CM) ที่จะทำหน้าที่ประกบ ช่วยเหลือ และติดตามเด็กแต่ละคน ทั้งนี้ CM ควรเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่เพื่อด้วยเหตุผล 2 ประการคือ 1) รู้พื้นที่ เพื่อความสะดวกในการเดินทางเพื่อติดต่อและติดตามเด็ก และ 2) รู้จักคน (สะดวกในการติดต่อเด็ก/ครอบครัว รวมถึงหน่วยงานให้บริการ)

กลไกทั้ง 3 กลไกนี้จะต้องทำงานสอดรับกัน กล่าวคือ ถ้าเป็นการทำงานระดับจังหวัด แกนนำระดับจังหวัดควรจะเป็นเลขฯของคณะกรรมการ CMS ระดับจังหวัด แกนนำระดับอำเภอควรเป็นเลขาฯคณะกรรมการ CMS ระดับอำเภอ และแกนนำระดับตำบล ควรเป็นเลขาฯของคณะกรรมการ CMS ระดับตำบล

นอกจากนี้หัวใจสำคัญของการดูแลรายกรณีระดับพื้นที่คือ ต้องมีแผนการดูแล ซึ่งจะเชื่อมโยงปัญหาและความต้องการเข้ากับทรัพยากรที่มีในพื้นที่ โดย CM จะเป็นผู้ร่างแผนการดูแลขึ้นมา เนื่องจาก CM คือผู้ที่ได้พบและคุยกับเด็กและครอบครัว รวมถึง ได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ จึงน่าจะเป็นผู้ที่รู้ว่าเด็ก/เยาวชนกลุ่มเป้าหมายควรได้รับการดูแลในเรื่องใดบ้าง

กรณีตัวอย่าง “น้องฟูกยุบ” มี CM ที่เป็นคุณครู กศน.ท่านหนึ่งในจังหวัดสุราษฏร์ธานี ได้สำรวจพบว่า น้องเป็นเด็กเรียนดีและที่สำคัญน้องยังมีฝันที่อยากจะเป็นหมอ เมื่อคุณครู กศน.ทราบปัญหาและความต้องการของน้องเช่นนี้ ในแผนการดูแล จึงเป็นการส่งกลับเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 12 จังหวัดสุราษฏร์ธานี เพื่อให้น้องได้ทำตามความฝัน อย่างไรก็ตาม คุณครู กศน.ต้องเวียนมาทำความเข้าใจและสร้างความมั่นใจให้กับคุณตาคุณยายที่รักและห่วงหลานอยู่หลายรอบ รวมถึงต้องให้ทีมคณะกรรมการ CMS ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในพื้นที่มาพูดคุยกับตายายถึงการเรียนที่ราชประชานุเคราะห์ 12 ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำ และค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากจนครอบครัวรับภาระไม่ได้ จนในที่สุดตากับยายจึงยอมให้หลานไปเรียน ผลการทดสอบความรู้ก่อนเข้าเรียนพบว่าน้องมีความรู้พื้นฐานดี แต่จากการที่หยุดเรียนไปถึง 3 ปี ทำให้ในแผนการดูแลต้องเตรียมความพร้อมทางวิชาการด้วยการสอนเสริม วันที่น้องได้เข้าเรียน ครู กศน.บอกว่าปลื้มใจ เหมือนได้มาส่งลูกตัวเองเข้าเรียน ฝันของเด็กคนหนึ่งจะไปต่อไม่ได้หากขาดข้อต่อที่จะมาช่วยแก้ปัญหาและเชื่อมต่อกับหน่วยงานที่มีทรัพยากร ทั้งข้อต่อที่เป็น CM ซึ่งมีความเพียรไปคุยเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตายาย และข้อต่อที่เป็นคณะกรรมการ CMS ที่ช่วยประสานส่งต่อให้เด็กได้กลับเข้าระบบการศึกษา กลไกเหล่านี้ยังช่วยประคับประคองให้ฝันที่จะเป็นหมอของน้องฟูกยุบให้ยังคงอยู่ต่อไป

ภาพ ตัวอย่างความเห็นจากน้องที่ได้รับโอกาสเพื่อการศึกษาผ่านระบบการดูแลแบบรายกรณีระดับพื้นที่
(ได้รับอนุญาตให้เผยแพร่จากนักวิจัย)

กรณีที่ยกตัวอย่างข้างต้นนี้ เป็นเพียงหนึ่งในเด็กนอกระบบการศึกษาที่ทางโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ฯ ได้ทดลองใช้ระบบการดูแลรายกรณีระดับพื้นที่ของ 20 จังหวัดนำร่อง ในปีที่ 1 โครงการฯ สามารถดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษา อายุระหว่าง 2-21 ปี จำนวน 4,659 คน (สำนักพัฒนาการเรียนรู้เชิงพื้นที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา, สไลด์นำเสนอ, 9 ธันวาคม 2563) ให้สามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา (อาจจะเป็นการศึกษาในระบบหรือศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย) หรือได้รับการพัฒนาทักษะด้านอาชีพ ปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทำงานด้วยระบบการดูแลรายกรณีระดับพื้นที่นี้จะทำให้เกิดต้นแบบการทำงานเพื่อดูแลเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาของพื้นที่ต่อไป และหากสนใจในกระบวนการทำงานด้วยระบบ CMS นี้สามารถเข้าไปติดตามได้ที่เว็บไซต์  https://m.facebook.com/eff20provinces/


[1] 20 จังหวัดนำร่องภายใต้โครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่ฯ ได้แก่ ภาคเหนือ: จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดลำปาง จังหวัดน่าน จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดสุโขทัย จังหวัดแพร่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภาคกลาง/ตะวันตก/ตะวันออก: จังหวัดนครนายก จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดระยอง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: จังหวัดขอนแก่น จังหวัดสุรินทร์ จังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดมหาสารคาม จังหวัดนครราชสีมา ภาคใต้: จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดยะลา จังหวัดสงขลา

อ้างอิง

  • กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. (2564). ระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. เข้าถึงได้จาก https://isee.eef.or.th/screen/thaioosc/oosc_overview.html
  • สยามรัฐ.  (2564). กสศ.สำรวจสถานการณ์เด็กหลุดออกนอกระบบหลังเปิดเทอมใหม่หายไปจากระบบแล้ว 10%. เข้าถึงได้จาก https://siamrath.co.th/n/253624
  • สำนักพัฒนาการเรียนรู้เชิงพื้นที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา. ผลการดำเนินงานโครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ปีที่ 1  (2562- 2563). สไลด์นำเสนอ. วันที่ 9 ธันวาคม 2563
  • อภิญญา เวชยชัย. (2559). การจัดการรายกรณี. ใน ความรู้พื้นฐานด้านสงคมสงเคราะห์ (พิมพ์ครั้งที่ 6) (น. 317 – 341). กรุงเทพมหานคร : เทพเพ็ญวานิสย์.
  • Finkelman, A.W. (2011). Case Management for Nurses. Boston: Pearson
  • Frankel, Arthur J & Gelman, Sheldon R. (2004). Case Management.  Lyceum Book
  • Nutchanat Durango and Jaturong Boonyarattanasoontorn. (2020). Case Management for Child Protection: Concepts, and Implementation. Journal of Social Work, 28 (1), 1-24


CONTRIBUTOR

Related Posts
เมีย 2018 ณ เมียนมา

จรัมพร โห้ลำยอง

สู้ต่อไป กับการ Work From Home

มนสิการ กาญจนะจิตรา

สามีฝรั่งคือปลายทาง

ดุสิตา พึ่งสำราญ

Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th