The Prachakorn

สองปีโควิด-19 กับความรุนแรงต่อผู้หญิงที่เพิ่มขึ้น 8.5% ในจังหวัดนราธิวาส  


กสิณา โอฬารริกสุภัค

08 มีนาคม 2565
618



ในจังหวัดชายแดนใต้คงไม่มีที่ไหนมีชุดข้อมูลความรุนแรงต่อผู้หญิงดีกว่าสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลาและสตูล พ.ศ. 2489 และพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. 2540 ให้จัดการแต่งงาน การหย่า การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในครอบครัวชาวมุสลิมได้ หากเป็นจังหวัดอื่นต้องยกให้ศูนย์พึ่งได้ที่ตั้งอยู่ตามโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ที่มีการเก็บข้อมูลความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอให้ติดตามแนวโน้มได้

แต่ชุดข้อมูลอาจไม่มีความหมายอะไรถ้าอ่านไม่ออก ไม่มีการจัดการข้อมูล หรือไม่อ่าน “บางส่วน” ที่สำคัญ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสตามปกติบันทึกข้อมูลผู้หญิงที่มาขอรับบริการเป็นภาษายาวี บันทึกด้วยมือในกระดาษ และคิดเฉพาะสัดส่วนผู้ที่ช่วยไกล่เกลี่ยและหย่าขาดได้สำเร็จต่อปี จังหวัดอื่นในชายแดนใต้ก็มีลักษณะการเก็บข้อมูลคล้ายกัน “บางส่วน” ที่หายไปจากการจัดเก็บและวิเคราะห์จึงเป็นข้อมูลความรุนแรงต่อผู้หญิงทางกายและทางใจ สาเหตุที่มีการบันทึกข้อมูลเหล่านี้ เพราะโดยปกติผู้หญิงมักรายงานให้คณะกรรมการทราบเพื่อเพิ่มน้ำหนักความจำเป็นที่ต้องฟ้องหย่า 

เนื่องจากความรุนแรงในครอบครัวทางร่างกายและจิตใจเพิ่มมากขึ้นทุกปี คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสจึงตัดสินใจทำตามคำเรียกร้องของเครือข่ายผู้หญิงมุสลิมเปิดศูนย์ให้คำปรึกษาเสริมพลังผู้หญิงภายในสำนักงาน และเริ่มจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระบบมากขึ้นและบันทึกในคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ พ.ศ. 2561 

เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลผู้หญิงที่เข้ามาฟ้องหย่าและปรึกษาปัญหาชีวิตครอบครัวที่ศูนย์ให้คำปรึกษาผู้หญิงในสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสช่วงก่อนและหลังจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 พบว่าปี 2561-2562 อัตราผู้หญิงถูกสามีทำร้ายร่างกายเฉลี่ยอยู่ที่ 24.5% ต่อปี ขณะที่ปี 2563-2564 ซึ่งเป็นปีที่โควิด-19 ระบาด อัตราเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 33% หรือสูงขึ้น 8.5% 

ปี 2561 และ 2562 มีจำนวนผู้หญิงเข้ามาปรึกษาและฟ้องหย่าใกล้เคียงกัน เฉลี่ยที่ 380 คนต่อปี เป็นผู้ที่ถูกทำร้ายร่างกายเฉลี่ย 93 คนต่อปี แต่มาในปี 2563 ผู้หญิงเข้ามาปรึกษาและฟ้องหย่าลดลงเหลือ 201 คน ถูกทำร้ายร่างกาย 73 คน และลดลงอย่างมากในปี 2564 ผู้หญิงเข้ามาปรึกษาและฟ้องหย่าเพียง 76 คน คำนวณคร่าว ๆ อาจมีผู้หญิงที่ไม่มาขอความช่วยเหลือสะสมสองปีถึง 480 คนในจังหวัดเดียว

อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้เช่นกันว่าอัตราถูกทำร้ายร่างกายไม่ได้เพิ่มขึ้น เพียงแต่ผู้หญิงที่ถูกทำร้ายร่างกายรุนแรงเท่านั้นที่เดินทางเข้ามาขอปรึกษา ขณะที่ผู้หญิงคนอื่น ๆ ตัดสินใจชะลอการขอความช่วยเหลือ จำนวนผู้หญิงถูกทำร้ายร่างกายมาปรึกษาลดลงผิดปกติจากสองปีก่อนถึง 44.5% จึงเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากกว่าอัตราการทำร้ายร่างกายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากคาดว่าจำนวนความรุนแรงไม่ได้ลดลงแต่ผู้หญิงมีเหตุผลอื่นที่ไม่มาขอความช่วยเหลือ ทนอยู่กับความรุนแรง เช่น หลีกเลี่ยงการเดินทางที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคโควิด-19 ไม่มีค่าเดินทาง หรือวุ่นอยู่กับการแก้ปัญหาปากท้องของครอบครัว 

ซารีนา เจ๊ะเลาะ ประธานศูนย์ผู้หญิงให้คำปรึกษาและภรรยาประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส1 ให้ความเห็นว่าในภาพรวมมีผู้หญิงเข้ามาใช้บริการด้านอื่น ๆ ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสลดลงมากเช่นกัน เนื่องจากมีจำนวนผู้ติดโควิด-19 ในจังหวัดนราธิวาสสูง จึงป้องกันตัวด้วยการเดินทางเท่าที่จำเป็น อีกทั้งความยากจนเพิ่มสูงขึ้น คนไม่มีงานทำมากขึ้น เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงชะลอการฟ้องหย่าแม้ว่าศูนย์ผู้หญิงและสำนักงานอิสลามจังหวัดเปิดบริการตามปกติ

หากมองไปที่จังหวัดใกล้เคียง อัตราเฉลี่ยของผู้หญิงนราธิวาสถูกทำร้ายร่างกายก่อนช่วงโควิด-19 ระบาดที่ 24.5% ตรงกับที่อัลญาณ์ กุศล และกมลชนก2 สำรวจอนามัยเจริญพันธุ์ในจังหวัดปัตตานีในปี 2554 ที่พบว่าผู้หญิงมุสลิมมีอัตราถูกทำร้ายร่างกายโดยคู่ชีวิตที่ 24.5% เหมือนกัน เท่าที่ทราบไม่เคยมีการสำรวจอัตราความรุนแรงในครอบครัวในจังหวัดนราธิวาสและยะลา ดังนั้น ข้อมูลจากสำนักงานอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาสจึงอาจเป็นข้อมูลเทียบเคียงที่ดีที่สุดในขณะนี้ ใช้เป็นข้อมูลฐานก่อนการระบาดของโควิด-19 ได้ จังหวัดยะลาเริ่มมีศูนย์ให้คำปรึกษาเสริมพลังสตรีในสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดเช่นกัน ในพ.ศ. 2562 ยะลาพบอัตราการถูกทำร้ายร่างกาย 35% สูงกว่าปัตตานีและนราธิวาส 

ข้อมูลไม่ได้มีไว้เพื่อรายงานเพียงเท่านั้น แต่เพื่อการปรับปรุงนโยบายและแผนเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ประสบปัญหาและความยากลำบาก ที่ผ่านมาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดไม่เคยส่งต่อกรณีผู้หญิงถูกกระทำความรุนแรงให้เจ้าหน้าที่รัฐให้การช่วยเหลือ การที่ผู้หญิงเริ่มต้นทำงานข้างในกับกรรมการอิสลามจังหวัดนราธิวาสจึงเป็นข้อต่อให้เริ่มมีการส่งต่อ เครือข่ายผู้หญิงยุติความรุนแรงแสวงสันติภาพชายแดนใต้เป็นข้อต่อสำคัญ แต่ยังทำเรื่องส่งต่อได้น้อยเพราะเจ้าหน้าที่รัฐมีข้อจำกัดหลายด้านทั้งกำลังคน ทรัพยากร และขั้นตอนการทำงาน โดยเฉลี่ยจึงส่งต่อได้เพียง 8 คนต่อปีในช่วง 2561-2563 แต่ในปี 2564 จำนวนเพิ่มขึ้นได้เป็นประวัติการณ์ที่ 18 คน อาจเป็นเพราะความรุนแรงของโควิด-19 และการทำงานใกล้ชิดกับสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนราธิวาสมากขึ้น สำนักงานฯ โดยการสนับสนุนจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวเริ่มเข้ามาสนับสนุนงบประมาณบางส่วนให้กับศูนย์ผู้หญิงให้คำปรึกษาตั้งแต่ปี 2564 แต่การช่วยเหลือได้เกือบ 20 คน ยังห่างไกลจากผู้หญิงที่รอการช่วยเหลือ 480 คนในชุมชนหมู่บ้านมากนัก ดังนั้น การแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวจึงควรถึงคราวซ่อมบำรุงฐานรากของนโยบายสร้างกลไกเชิงรุกในชุมชนป้องกันความรุนแรงในครอบครัว ดังที่ท่านอธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว จินตนา จันทร์บำรุง กล่าวแก่คณะผู้มาเยือนจากนราธิวาสเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2563 ว่า “ของขวัญวันสตรีสากลปีนี้ ขอแค่เรื่องนี้ก็พอ”


อ้างอิง

  1. สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ วันที่ 6 มีนาคม 2565 
  2. อัลญาณ์ สมุห์เสนีโต, กุศล สุนทรธาดา, และกมลชนก ขำสุวรรณ. (2554). อนามัยเจริญพันธ์ของชาวไทยมุสลิมปัตตานี: ความแตกต่างที่อาจกลายเป็นชายขอบ. หน่วยวิจัยอนามัยเจริญพันธุ์ของชาวไทยมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สืบค้นเมื่อ 26 กุมภาพันธ์ 2565ม จาก http://rupattani.myreadyweb.com/article/topic-42802.html
     


CONTRIBUTOR

Related Posts
อาชีพกับเรื่องอ้วนๆ

จงจิตต์ ฤทธิรงค์

มาชะลอวัยกันเถอะ!

ปราโมทย์ ประสาทกุล

พาพ่อกลับกรีนแลนด์

อมรา สุนทรธาดา

ความอยู่ดีมีสุขของครอบครัว การย้ายถิ่น และมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้

กาญจนา ตั้งชลทิพย์,ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์,อารี จำปากลาย

คุกโลก......ล้น

อมรา สุนทรธาดา

วิถีใหม่

วรชัย ทองไทย

Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th