The Prachakorn

วัคซีนโควิด-19 กับการ (ไม่) ตอบรับของชาวอเมริกัน


พรสุรีย์ จิวานานนท์

08 มีนาคม 2565
937



COVID-19 Vaccines and Public (Non) Response in the U.S.

“จำได้ว่าตลอดการแถลงการณ์มีการย้ำคำว่า “รุนแรง (severe)” มากถึงหกครั้งด้วยกัน ซึ่งขณะนั้นมียอดผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศทั้งสิ้นเพียง 53 รายเท่านั้นเมื่อเทียบกับ 78.8 ล้านรายในขณะนี้”

(Centers for Disease Control and Prevention, 2563)

มองย้อนกลับไปเมื่อสองปีที่แล้ว วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563 เป็นวันที่ผู้เขียนและประชาชนทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกาจับจ้องอยู่หน้าทีวี เนื่องจากว่า จะมีแถลงการณ์พิเศษจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention—CDC)  ผู้เขียนตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ ด้วยในใจตระหนักดีว่าสถานการณ์เริ่มไม่ธรรมดาแล้ว โดยดร.เม็สสันเนียร์ได้แถลงว่า “...สถานการณ์ไวรัสสายพันธุ์ใหม่โคโรน่าเริ่มมีความชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และได้ขยายตัวครอบคลุม (ชุมชน) อย่างรวดเร็ว...สถานการณ์ในขณะนี้อาจแลดูเกินกำลัง และชีวิตประจำวันของพวกเราอาจจะต้องหยุดชะงักอย่างรุนแรง...ขอให้ทุกคนเตรียมตัว...”  จำได้ว่าตลอดการแถลงการณ์มีการย้ำคำว่า “รุนแรง (severe)” มากถึงหกครั้งด้วยกัน ซึ่งขณะนั้นมียอดผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศทั้งสิ้นเพียง 53 รายเท่านั้นเมื่อเทียบกับ 78.8 ล้านรายในขณะนี้ (CDC, 2565)  นับเป็นอัตราการเพิ่มที่สูงลิ่ว นอกจากนี้ยังมียอดผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้นถึง 944,517 รายด้วยกัน (CDC, 2565) ซึ่งเมื่อเทียบเป็นอัตราผู้เสียชีวิตต่อประชากรหนึ่งแสนคนแล้วพบว่า ชาวอเมริกันเสียชีวิตจากโควิด-19 มากเป็นอันดับที่ห้าของโลก และถือเป็นอันดับหนึ่งของประเทศที่พัฒนาแล้วเลยทีเดียว ดังจะเห็นได้จาก รูปที่ 1 :-

รูปที่ 1 อัตราการเสียชีวิตต่อประชากร 100,000 คนในประเทศที่ได้รับผลกระทบ 20 อันดับสูงสุด
(Johns Hopkins University and Medicine, 2565)

ทั้งนี้ชาวอเมริกันจัดว่าเป็นกลุ่มแรก ๆ ของโลกที่ได้รับวัคซีนต้านทานโควิด ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรเทาความรุนแรงของโรคและลดการแพร่เชื้อ ซึ่งจะช่วยสร้างภูมิต้านทานหมู่ตั้งแต่ในระดับชุมชนจนกระทั่งระดับโลก ท้ายที่สุดแล้วโควิด-19 จะลดสถานภาพจากโรคระบาดระดับโลก เหลือเพียงโรคระบาดระดับท้องถิ่น เช่น ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก และโรคฉี่หนู—จุดประสงค์หลักของวัคซีน คือ การรักษาชีวิต  ทั้งนี้จากการสอบถามและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ผู้เขียนพบว่า การตอบรับวัคซีนโควิด-19ของชาวอเมริกันมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่นคือ หากเปรียบเป็นแถบสี ก็มากด้วยความหลากหลายอยู่เต็มสเปกตรัม ไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ

ก่อนอื่นเพื่อเป็นการยกย่องในความกล้าหาญและความเสียสละอันใหญ่หลวง ผู้เขียนจักขอสดุดี “เหล่าอาสาสมัคร” ที่อุทิศตนเองและครอบครัว เพื่อการวิจัยวัคซีนในขั้นทดลองในคน (clinical trials)  อนึ่ง พวกเขาเหล่านี้ประกอบไปด้วยบุคคลทุกเพศ ทุกวัย เริ่มตั้งแต่ทารกอายุหกเดือนไปจนถึงคนชราอายุมากกว่า 70 ปีขึ้นไป  ดร.บูอี (แยน, 2564) เป็นท่านหนึ่งที่อาสาบุตรทั้งสามคน ซึ่งมีอายุหนึ่งถึงหกปี เข้าร่วมการทดลองทางคลินิคของวัคซีนไฟเซอร์ โดยที่ท่านได้ให้เหตุผลว่า การที่ท่านเป็นศัลยแพทย์ระบบประสาทกุมารเวชนั้น ทำให้ท่านเปรียบเสมือนทัพหน้า ท่านรับมือกับผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่หลั่งไหลกันเข้ามาในโรงพยาบาล สร้างความโกลาหลอลหม่านเป็นอย่างมาก บุคลากรการแพทย์ทุกฝ่ายที่มีผู้ป่วยเพียงเล็กน้อยต่างก็อาสาเข้ามาช่วยกันดูแลคนไข้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งประกอบไปด้วยบุคคลทุกเพศ ทุกวัย แต่ที่ทำให้ท่านตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าร่วมการทดลองวัคซีนในครั้งนี้ ก็เห็นจะหนีไม่พ้นเด็ก ๆ ซึ่งยังไม่มีสิทธิได้รับวัคซีน ท่านเชื่อว่าวัคซีนที่ผ่านมาถึงขั้นทดลองในคน จะต้องมีความปลอดภัยสูง และมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยในคนที่มีสุขภาพดี ไม่มีโรคประจำตัว และนี่คือเหตุผลหลัก—ศรัทธาอันแรงกล้าในเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์—ที่ทำให้เหล่าอาสาสมัครอุทิศตนเพื่อส่วนรวม

เมื่อวัคซีนต้านทานโควิด-19 ทยอยออกมาสู่สาธารณชนภายใต้การอนุญาตให้ใช้ฉุกเฉิน (Emergency Use Authorization—EUA) หน่วยราชการท้องถิ่นจะดำเนินการจำแนกประชาชนตามลำดับความเสี่ยงการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโคโรน่า นั่นคือ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปเป็นกลุ่มแรกที่ได้สิทธิรับวัคซีน ตามมาด้วยผู้ที่ป่วยด้วยโรคที่เอื้อโควิด-19 เช่น มะเร็ง โรคไต โรคปอด เป็นต้น หลังจากนั้นเป็นคราวของบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่มีอาชีพใกล้ชิดกับบุคคลอื่น ๆ เช่น ตำรวจ ช่างตัดผม ช่างทำเล็บ คนเสิร์ฟอาหาร ครู ฯลฯ  ทั้งนี้ ผู้ที่ไปใช้สิทธิรับวัคซีนนั้นมีอยู่มากทีเดียว ถือเป็นการตอบรับที่ดี ในขณะเดียวกันผู้ที่ได้สิทธิ แต่ “เลือก” ที่จะไม่ไปใช้สิทธินั้นก็มีเป็นจำนวนมากเช่นกัน  

มีชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่มีศรัทธาอันแรงกล้าไม่แพ้กลุ่มอาสาสมัคร โดยที่คนกลุ่มนี้มีความเชื่อว่า “วัคซีนจักเป็นแสงสว่างที่ปลายทางอุโมงค์ของพวกเขา” อีกนัยหนึ่ง “วัคซีน คือ ใบเบิกทางสู่การกลับไปใช้ชีวิตปกติตามเดิม” พวกเขาไปรับวัคซีนทันทีที่ได้สิทธิ  เมื่อระบบจองออนไลน์ปุ๊บ พวกเขาก็ลงชื่อปั๊บ บางท่านถึงกับต้องขับรถไปต่างเมือง เพราะในเมืองที่ตนเองอยู่คิวเต็มแล้วนั่นเอง  ทั้งนี้การตอบรับที่ดียิ่ง ไม่ได้แปลว่าคนกลุ่มนี้จะปลอดภัยจากโควิด-19 นั่นคือ มีศรัทธาแล้วก็ต้องรอบคอบด้วยจึงจะปลอดภัย เมื่อเรารู้การทำงานของวัคซีน เราก็จะรู้ว่าวัคซีนจะป้องกันเราได้นั้น ปริมาณไวรัสที่ได้รับจะต้องไม่ท่วมท้นภูมิต้านทานของร่างกายที่วัคซีนช่วยสร้างไว้ ดังจะเห็นได้ว่าผู้ที่เลิกระมัดระวังตัวทันทีที่ได้รับวัคซีน นำพาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่แออัด เช่น คอนเสิร์ต คาสิโน โรงภาพยนตร์ ผับ ฯลฯ  หากในสถานที่นั้นมีเชื้อไวรัสอยู่เป็นปริมาณสูง ก็จะส่งผลให้ติดเชื้อจนป่วยหนัก ถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลรับออกซิเจน หรือถ้ามีโรคประจำตัวร่วมด้วยก็อาจถึงขั้นเสียชีวิต (CDC, 2565) 

การตอบรับของวัคซีนต้านโควิดลักษณะต่อไปนี้ ถือว่ามีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากว่า คนส่วนใหญ่ที่ผู้เขียนได้สอบถาม ล้วนแล้วแต่แสดงเจตจำนงว่าอยู่ในกลุ่มนี้ นั่นคือ พวกเขามีเหตุผล มีความรอบคอบ และมีศรัทธาเต็มเปี่ยมในวัคซีน ขาดแค่เพียงความมั่นใจ ดังนั้นพวกเขาจึงขอสังเกตการณ์ดูก่อนจนกว่าจะมีข้อมูล (เกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีน) เพียงพอว่าปลอดภัย จึงค่อยไปรับวัคซีน  ทั้งนี้ระยะการสังเกตการณ์นั้นก็มีตั้งแต่ระยะสั้น (1-3 เดือน) ระยะกลาง (3-6 เดือน) และระยะยาว (มากกว่า 6 เดือนขึ้นไป)  ผู้เขียนพบว่า ผู้ที่เริ่มจากการสังเกตการณ์ระยะสั้น หากไม่ได้รับวัคซีนในช่วง 3 เดือนแรก ก็จะเลื่อนไปเป็นผู้สังเกตการณ์ระยะกลางและระยะยาวในที่สุด  โดยที่หลายคนสังเกตการณ์ระยะยาวเกินหนึ่งปีขึ้นไป เมื่อถูกถามก็จะตอบเช่นเดิมว่า ข้อมูลยังไม่เพียงพอ ยังไม่มั่นใจ รออีกหน่อยก่อน  บ้างก็รอจนติดเชื้อไปก่อนก็มี บ้างก็ป่วยหนักถึงขั้นเสียชีวิต 

ในลำดับต่อไปจะขอกล่าวถึงพ่อแม่และผู้ปกครองชาวอเมริกันที่มีบุตรหลานอายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งตามกฎหมายถือว่าเป็น “ผู้เยาว์” ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองถูกต้องตามกฎหมายจึงจะรับวัคซีนได้ ทั้งนี้หลายรัฐมีแบบฟอร์มอนุญาตผู้เยาว์รับวัคซีน สำหรับให้ดาวน์โหลดและกรอกเองได้  อย่างไรก็ตามหลายครอบครัวมี ”ความเชื่อ” ว่า ไวรัสโคโรน่าแทบไม่มีผลต่อเด็ก และเด็กส่วนใหญ่ที่ได้รับเชื้อก็ไม่มีอาการ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่บุตรหลานจะต้องไป “เสี่ยง” รับวัคซีนเหมือนกับผู้ใหญ่  ซึ่งแข็งแรงกว่า สามารถต่อสู้กับผลข้างเคียงได้ดีกว่า และเมื่อผู้ใหญ่รอบตัวได้รับวัคซีนครบแล้ว ก็สามารถป้องกันการแพร่เชื้อสู่ลูกหลานได้  ดังจะเห็นได้ว่าความเชื่อ เป็นสิ่งเดียวกับสมมติฐาน ที่ยังต้องผ่านการพิสูจน์ว่าจริง จึงจะยึดถือนำมาปฏิบัติได้  ภายหลังได้มีเด็กวัยเรียนเป็นจำนวนมากต่างออกมาแสดงเจตจำนงทางโซเชียลมีเดียว่า พวกเขาต้องการไปรับวัคซีน เพราะพวกเขาต้องไปโรงเรียน ต้องไปร่วมกิจกรรม โดยที่พวกเขาขับรถเองได้ (อายุ 16 ปีขึ้นไปสามารถสอบใบขับขี่ได้) ทว่าไม่ได้รับการยินยอมจากพ่อแม่ จึงไม่สามารถไปรับวัคซีนได้  อนึ่ง ในช่วงที่สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron Variant) มีการระบาดอย่างรุนแรง จำนวนผู้ป่วยในกลุ่มผู้เยาว์ก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็นที่น่าตกใจถึง 881 คนต่อวัน (CDC, 2565) ซึ่งแพทย์ต่างระบุว่า ถึงแม้อาการจากการติดเชื้อโควิด-19 ในเบื้องต้นจะไม่รุนแรง ก็ไม่ได้แปลว่าจะหมดห่วง ต้องคอยเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดในระยะ 2-6 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อ เพราะกลุ่มอาการอักเสบในหลายระบบของเด็ก (Multi-Inflammatory Syndrome in Children—MIS-C) นั้นร้ายแรงยิ่งกว่า เพราะอาจทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที (คริสเท็นเซ็น, 2565)

เป็นที่รู้กันดีว่า วัคซีนต้านทานโควิดนั้นมีหลายประเภท ประเภทละหลายยี่ห้อ และแต่ละประเทศก็มีใช้แตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ดีสหรัฐฯ มีให้ใช้อยู่สองประเภท สามยี่ห้อ เช่น ไฟเซอร์ (Pfizer-BioNTech : 2 เข็ม), โมเดอร์น่า (Moderna : 2 เข็ม), และจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (Johnson & Johnson’s Janssen : 1 เข็ม)  ทั้งนี้ไฟเซอร์และโมเดอร์น่าเป็นวัคซีนประเภทสารพันธุกรรม (mRNA) ซึ่งมีนัยสำคัญ คือ จำต้องได้รับสองเข็มจึงจะสร้างภูมิต้านทานได้เต็มที่ ต่างกับจอห์นสันฯ ซึ่งเป็นชนิดเข็มเดียว เมื่อร่างกายได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้ว ร่างกายจะมีปฏิกิริยาเกิดผลข้างเคียงทั่วไป เช่น เป็นไข้ จับสั่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หมดเรี่ยวแรง บางคนไม่สามารถประกอบกิจการงานได้เป็นเวลาหลายวัน รวมไปถึงผลข้างเคียงที่เกิดได้น้อยแต่ร้ายแรง เช่น ลมพิษ (Hive) กล้ามเนื้อหัวใจโต (Myocarditis) และลิ่มเลือดอุดตัน (Thromboembolic) (CDC, 2565) ซึ่งผู้ที่มีปฏิกิริยาค่อนข้างรุนแรงหลังจากได้รับเข็มแรก ก็จะไม่ต้องการรับเข็มต่อ ๆ ไป ซึ่งรวมไปถึงการฉีดย้ำในเข็มที่สามและสี่ด้วย ดังจะเห็นได้ว่า คนกลุ่มนี้มีการตอบรับที่ดี หากแต่วัคซีนทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ค่อนข้างแย่สำหรับพวกเขา จึงตัดสินใจที่จะไม่รับวัคซีนต่อ

มาถึงกลุ่มที่ไม่ตอบรับวัคซีนแต่อย่างใด โดยที่คนกลุ่มนี้มีความเชื่อที่หลากหลายดังที่ผู้เขียนได้รวบรวมมา เป็นต้นว่า “โควิดไม่มีอยู่จริง” มันไม่ต่างอะไรกับไข้หวัดใหญ่ที่เราเป็นกันอยู่ทุก ๆ ปี เดี๋ยวก็หาย; “วัคซีนมีพิษ” ส่วนประกอบของวัคซีนเป็นอันตรายต่อร่างกายถึงชีวิต; “ร่างกายแข็งแรง ถึงติดโควิดก็หายได้เอง” ออกกำลังกายทุกวัน เป็นนักกีฬา ปอดแข็งแรงดุจเหล็ก โควิดจะทำอะไรได้; ไปจนถึงการอ้างอิงอิสรภาพ “ร่างกายของฉัน สิทธิของฉัน” ฉันจะฉีดหรือไม่ฉีดมันก็เป็นสิทธิของฉัน รัฐบาลเกี่ยวอะไรด้วยหรือ— และนี่ ก็คือ เหตุผลระดับต้น ๆ ของการปฏิเสธวัคซีนโดยสิ้นเชิง  
ในบางมลรัฐของสหรัฐฯ เห็นว่าการชักชวน เชื้อเชิญ หรือแม้กระทั่งข่มขู่นั้นไม่ได้ผล จึงเกิดความคิดสร้างสรรค์ต่าง ๆ นานาขึ้นมา เช่น ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ได้มีการมอบบัตรเงินสดจำนวน 50 เหรียญดอลล่าร์ (ประมาณ 1,500 บาท) ให้กับประชาชนทุกคนที่มารับวัคซีนเข็มแรก อีกทั้งยังสามารถลงชื่อจับรางวัลใหญ่ ซึ่งจะมีอยู่สิบรางวัลด้วยกัน รางวัลละ 1.5 ล้านเหรียญดอลล่าร์ (45 ล้านบาท)  ซึ่งก็ได้ผลดีเกินคาด ประชาชนในแคลิฟอร์เนียที่ยังไม่ได้รับเข็มแรก ต่างพากันไปเข้าแถวรับรางวัล และวัคซีนกันอย่างชื่นมื่น (อิล, มันนี่, และสไตลส์, 2564)

แต่ก็ใช่ว่าการนำรางวัลมาล่อใจจะใช้ได้ผลกับทุกคน ซึ่งจะเห็นได้ว่าเมื่อหมดความคิดสร้างสรรค์ (และหมดทุนทรัพย์) รัฐบาลก็หงายไพ่ใบสุดท้ายที่ทำให้ชาวอเมริกันถึงกับหงายหลังโครม ก็จะไม่ให้ตกใจได้เช่นไร ในเมื่ออิสรภาพ คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง คือ ลมหายใจของพวกเขา แล้วจู่ ๆ ผู้มีอำนาจจะมาริดรอนสิทธิเสรีภาพด้วยการบังคับใช้กฎหมายให้พวกเขาไปรับการฉีดวัคซีน มิเช่นนั้นก็จะไม่สามารถประกอบอาชีพการงานได้ หรือมีความยุ่งยากมากขึ้น เช่น บุคลากรทางการแพทย์ สถานที่ประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป และสถานศึกษา  ในแต่ละครั้งที่กฎหมายบังคับฉีดวัคซีนผ่าน ก็จะมีการประท้วงอยู่ทุกหย่อมหญ้า มีทั้งประท้วงหยุดงาน ล่ารายชื่อเพื่อยื่นเสนอหักล้างข้อกฎหมาย และในที่สุดลาออกจากงานนั้น ๆ เสียเลย

มาถึงกลุ่มสุดท้ายซึ่งเป็นกลุ่มที่น่าเห็นใจที่สุด เพราะไม่ว่าพวกเขาจะอยากรับวัคซีนมากเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถทำได้ ในประการแรกเป็นเพราะว่าพวกเขามีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อส่วนผสมในวัคซีนอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ทั้งนี้ CDC (2565) ได้อธิบายว่าโดยส่วนใหญ่จะเป็นสารโปรตีนที่ร่างกายเห็นเป็นสิ่งแปลกปลอม ส่งผลให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงเฉียบพลัน กล่าวคือ หลอดลมหายใจบวมปิด ขาดอากาศหายใจ และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว (anaphylaxis) อีกประการหนึ่งเป็นชาวอเมริกันกลุ่มสุดท้ายของสุดท้ายที่ยังไม่มีสิทธิได้รับวัคซีน พวกเขาคือ เด็กวัย 6 เดือน ถึง 4 ปี  ในขณะนี้ไฟเซอร์กำลังดำเนินการทดลองทางคลินิคระยะที่สามอยู่ ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายก่อนที่จะขออนุมัติให้ใช้แบบฉุกเฉิน  

ท้ายที่สุดนี้ จะขอสรุปด้วยข้อมูลการรับวัคซีนจากทั่วโลกล่าสุด ดังแสดงในรูปที่ 2  จะเห็นได้ว่า 64% ของชาวอเมริกัน (คิดเป็นจำนวนประชากร 213 ล้านคน) ได้รับวัคซีนครบชุดเบื้องต้นแล้ว ทั้งนี้ไม่รวมถึงการฉีดย้ำเข็มที่สามและสี่ นอกจากนี้ 12% ของประชากร (ราว 40 ล้านคน) ได้รับเข็มแรกแล้ว  สรุปได้ว่า ประเทศสหรัฐฯ มีผู้รับวัคซีนมากเป็นอันดับที่ 15 ของโลก  

รูปที่ 2 อัตราประชากรที่ได้รับวัคซีนครบชุดในแต่ละประเทศ (แสดงผล 27 ลำดับแรก) (Our World in Data, 2565)


อ้างอิง

  • Centers for Disease Control and Prevention. (2022, February 27). COVID Data Tracker.  Atlanta, GA: US Department of Health and Human Services, CDC. https://covid.cdc.gov/covid-data-tracker
  • Centers for Disease Control and Prevention. (2022, February 25). Selected Adverse Events Reported after COVID-19 Vaccination.  Atlanta, GA: US Department of Health and Human Services, CDC. https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/safety/adverse-events.html
  • Christensen, Jen. (2022, February 22). As Omicron cases fall, doctors anxiously await possible surge of dangerous child complication MIS-C. CNN. https://www.cnn.com/2022/02/22/health/mis-c-omicron-waiting-for-trouble/index.html
  • Johns Hopkins University and Medicine. (2022, February 27). Mortality Analyses – Johns Hopkins Coronavirus Resource Center. https://coronavirus.jhu.edu/data/mortality
  • Il, Rong-Gong Lin & Money, Luke & Stiles, Matt. (2021). California’s COVID-19 vaccinations rise as U.S. struggles. Does the lottery deserve credit?. Los Angeles Times. https://www.latimes.com/california/story/2021-06-23/did-newsoms-california-covid-vaccine-lottery-boost-doses
  • Messonnier, Nancy. (2020, February 25). CDC Telebriefing Update on COVID-19 [Speech transcript]. CDC. https://www.cdc.gov/media/releases/2020/t0225-cdc-telebriefing-covid-19.html (Original work published 2020)
  • Our World in Data. (2022, February 28). Coronavirus (COVID-19) Vaccinations. https://ourworldindata.org/covid-vaccinations
  • Yan, Holly. (2021, July 15). Why these parents volunteered their young children for Covid-19 vaccine trials. CNN Health. https://www.cnn.com/2021/06/29/health/covid-vaccine-trials-babies-children/index.html


CONTRIBUTOR

Related Posts
ซาลซ์บวร์ก (Salzburg) ช่วงโควิด

ขวัญชนก ใจซื่อกุล

รัฐประหาร ในเมียนมา

อมรา สุนทรธาดา

ด้วยรักและโรคระบาด

ภัทราภรณ์ จึงเลิศศิริ

COVID-19 กับผลกระทบต่อผู้ย้ายถิ่น

สักกรินทร์ นิยมศิลป์

ทุนสังคม พลังสังคม

ภูเบศร์ สมุทรจักร

ผู้หญิงในสถานการณ์โควิด-19

กัญญาพัชร สุทธิเกษม

COVID-19 : รักษาระยะห่าง ดูแลระยะใจ 

พงษ์ศักดิ์ สกุลทักษิณ,ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์

เงิน….. งาน…… บันดาลสุขอย่างไร? ในวันที่ต้อง Work From Home

จรัมพร โห้ลำยอง,ศิรินันท์ กิตติสุขสถิต

มารู้จักวัคซีนโควิด 19

มนสิการ กาญจนะจิตรา

Copyright © 2020 สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ตำบลศาลายา อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม 73170
โทรศัพท์ 02-441-0201-4 โทรสาร 02-441-9333
Webmaster: piyawat.saw@mahidol.ac.th