การตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อและการบริโภคของเด็ก1-3 ประเทศไทยจึงได้พัฒนาร่างพระราชบัญญัติการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเด็ก เพื่อลดการพบเห็นและเทคนิคจูงใจของการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ โดยร่างกฎหมายดังกล่าวกำหนดให้มีการติดตามการบังคับใช้กฎหมายในการควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ4 การศึกษาทบทวนระบบติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ ของต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศชิลี สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และออสเตรเลีย จะช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทางในการออกแบบและวางระบบการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ ได้อย่างเหมาะสมกับอำนาจและบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานในประเทศไทยที่เกี่ยวข้อง
การทบทวนวรรณกรรม พบว่า ประเทศชิลีและเกาหลีใต้ มีหน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย และประเทศออสเตรเลียมีการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ แบบกลไกกำกับดูแลร่วมกัน (co-regulation) ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน และภาคประชาสังคมมีบทบาทและส่วนร่วมในการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ อย่างเข้มแข็ง (รูปที่ 1)
รูปที่ 1 ระบบติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ ของ 3 ประเทศ5
สำหรับประเทศชิลีนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายหน่วยงานระดับภูมิภาคภายใต้กระทรวงทำหน้าที่ดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายและประสานงานกับเครือข่ายระหว่างภาคส่วน ได้แก่ สถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคม สมาคมผู้บริโภค องค์กรการตลาดด้านอาหารและสิทธิผู้บริโภค เพื่อติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมาย6,7
ในการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มทางโทรทัศน์ กระทรวงสาธารณสุขได้ทำข้อตกลง (agreement) กับสภาโทรทัศน์แห่งชาติ (The Television National Council) เพื่อให้สภาโทรทัศน์แห่งชาติส่งข้อมูลเนื้อหาทั้งหมดที่ออกอากาศระหว่างเวลา 06.00 น. ถึง 02.00 น. ในรายการโทรทัศน์แบบเปิดและแบบชำระเงินทั้งหมดที่กำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ชมที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปี ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข6,7 ในส่วนการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ ในสถานศึกษา กระทรวงสาธารณสุขได้ทำข้อตกลงกับกระทรวงศึกษาธิการ โดยขอให้ผู้ตรวจการและผู้กำกับการศึกษาตรวจสอบอาหารที่ขายภายในโรงเรียน6 สำหรับระบบรับเรื่องร้องเรียน ประชาชนสามารถรายงานการฝ่าฝืนกฎหมายได้ทั้งทางระบบออนไลน์ผ่านเอปกรณ์สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ร้องเรียนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานข้อมูล การร้องเรียน และข้อเสนอแนะของกระทรวงสาธารณสุขประจำภูมิภาค6
ที่มา: https://www.momsrising.org/blog/protect-all-kids-from-aggressive-junk-food-marketing
ประเทศเกาหลีใต้มีกระทรวงความปลอดภัยอาหารและยา8 ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานอิสระ (Autonomous Review Body) ทำหน้าที่ตรวจสอบการโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มก่อนเผยแพร่และแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นคำขอทราบภายใน 20 วัน9 นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบโฆษณาหลังเผยแพร่ โดยกระทรวงความปลอดภัยอาหารและยา มอบอำนาจให้ผู้บริหารหน่วยงานในท้องถิ่น เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกเทศมนตรี และนายอำเภอ ติดตามและบังคับใช้กฎหมายฉลากอาหารและการโฆษณา เมื่อมีการละเมิดกฎหมาย ผู้บริหารหน่วยงานในท้องถิ่นต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรถึงประเภทของการละเมิด และจำนวนเงินค่าปรับที่ผู้ละเมิดกฎหมายต้องจ่าย และต้องเผยแพร่ผลการละเมิดกฎหมาย โดยตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์รายวันด้วย9 นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ยังสามารถบังคับใช้กฎหมายด้วยการตรวจสอบฉลากคำเตือนแบบสุ่มเลือกตัวอย่างสินค้า ด้วยการเยี่ยมชมและการตรวจสอบสินค้า ณ จุดขายสินค้า คลังสินค้า หรือสถานที่ผลิต ซึ่งหน่วยงานกำกับดูแลตรวจสอบการปฏิบัติตามกฎหมายจะรายงานผลการค้นพบและรายละเอียดต่างๆ ไว้ทั้งในใบรับรองแบบกระดาษและออนไลน์ในระบบข้อมูลดิจิทัลของหน่วยงานด้านสุขภาพ (Health Authority’s Digital Information System) และออกรายงานผลการติดตามประเมินผล6
ประเทศออสเตรเลียมีระบบการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ ร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ (ได้แก่ หน่วยงานด้านการสื่อสารและสื่อของออสเตรเลีย (Australian Communications and Media Authority: ACMA) ทำหน้าที่กำหนดการโฆษณาและช่วงเวลาออกอากาศรายการสำหรับเด็กทางโทรทัศน์แบบฟรีทีวี10,11) และหน่วยงานภาคเอกชน (ได้แก่ สมาคมผู้โฆษณาแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian Association of National Advertisers: AANA) ซึ่งดำเนินการภายใต้การกำกับดูแลของ ACMA12) ในการตรวจสอบโฆษณาก่อนเผยแพร่นั้น ออสเตรเลียมีเพียงการอบรมบุคคลหรือบริษัทที่เป็นสมาชิกของ AANA ให้เข้าใจแนวปฏิบัติการโฆษณาสำหรับเด็กและแนวปฏิบัติการโฆษณาอาหารและเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์13 ในส่วนระบบรับเรื่องร้องเรียนมีหน่วยงานชื่อ มาตรฐานโฆษณา (Ad Standards) อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ACMA เป็นหน่วยงานบริหารจัดการข้อร้องเรียนและเป็นเลขานุการของคณะกรรมการตัดสิน ซึ่งมี 2 คณะ โดยคณะกรรมการชุดที่ 1 คณะกรรมการตัดสินจากชุมชน (Community Panel) ประกอบด้วย ผู้แทนประชาชนจากกลุ่มอายุและภูมิหลังที่หลากหลาย มีความสมดุลทางเพศ และเป็นตัวแทนของความหลากหลายในสังคมออสเตรเลีย และคณะกรรมการชุดที่ 2 คณะกรรมการตัดสินจากอุตสาหกรรม (Industry Jury) ประกอบด้วยกลุ่มนักกฎหมาย 3 คน ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายการโฆษณาและ/หรือการแข่งขัน และกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค ทั้ง 2 คณะกรรมการทำหน้าที่พิจารณาตัดสินเรื่องร้องเรียนโดยใช้การออกเสียงโหวตที่อาศัยเสียงข้างมาก จากนั้น คณะกรรมการตัดสินแจ้งผลการพิจารณาตัดสินเรื่องร้องเรียน เช่น แก้ไขหรือยุติการโฆษณา ให้แก่ Ad Standards เพื่อแจ้งผลให้แก่ผู้ร้องเรียน และ Ad Standards จัดทำสรุปเป็นรายงานผลการดำเนินงานประจำปี14
นอกเหนือจากกลไกข้างต้น ประเทศออสเตรเลียยังมีหน่วยงานที่ชื่อว่า adSHAME ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของภาคประชาสังคมและภาควิชาการที่สนใจและติดตามการโฆษณาที่ละเมิดของอุตสาหกรรมสุราและอาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง15 โดย adSHAME มีบทบาทส่งเสริมให้คนในสังคม (เช่น กลุ่มผู้ปกครอง) ร้องเรียนการโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาหารฯ ที่มีการละเมิดแนวปฏิบัติฯ16 โดยส่งเรื่องร้องเรียนไปที่ Ad Standards เมื่อคณะกรรมการตัดสินของ Ad Standards พิจารณาว่า เรื่องร้องเรียนไม่ละเมิดแนวปฏิบัติฯ Ad Standards แจ้งผลการเพิกถอนเรื่องร้องเรียนให้แก่ผู้ร้องเรียน กรณีที่ผู้ร้องเรียนไม่เห็นด้วยกับผลการพิจารณา ผู้ร้องเรียนจะส่งเรื่องดังกล่าวไปยัง adSHAME และ adSHAME จะส่งเรื่องร้องเรียนดังกล่าวไปยัง ACMA17 เพื่อให้พิจารณาและตัดสินการร้องเรียนอีกครั้ง ผลการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของ ACMA นำไปสู่การตัดสินที่ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด เช่น หากเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเป็นความจริงว่า โฆษณาละเมิดแนวปฏิบัติฯ เจ้าของโฆษณาดังกล่าวต้องปฏิบัติตามการตัดสินของ ACMA ในทางกลับกัน หากเรื่องร้องเรียนไม่ละเมิดแนวปฏิบัติฯ adSHANE ต้องยุติการร้องเรียน17,18
ที่มา: https://www.vectorstock.com/royalty-free-vector/monitoring-and-assessment-concept-icon-vector-41980371
ผลการทบทวนวรรณกรรมสะท้อนให้เห็นระบบการติดตามการตลาดและเครื่องดื่มฯ ที่สำคัญ โดยประเทศชิลีมีกระทรวงสาธารณสุขบังคับใช้กฎหมาย และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ เพื่อบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งมีระบบรับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน ในขณะที่เกาหลีใต้มีกระทรวงความปลอดภัยอาหารและยา กระจายอำนาจให้แก่ผู้บริหารหน่วยงานในระดับท้องถิ่นบังคับใช้กฎหมาย และมีการตรวจโฆษณาก่อนการเผยแพร่ ซึ่งแตกต่างจากประเทศออสเตรเลียที่มีทั้งการควบคุมตนเองและการกำกับดูแลร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน อีกทั้งยังมีภาคประชาสังคมในการตั้งคำถามและตรวจสอบเรื่องร้องเรียนโฆษณาละเมิดแนวปฏิบัติฯ ที่ไม่ได้รับการพิจารณาหรือพิจารณาแล้วว่าไม่ละเมิดแนวปฏิบัติฯ เพื่อนำไปสู่การพิจารณาอีกครั้งของหน่วยงานที่มีอำนาจทางกฎหมาย ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก สำหรับผู้กำหนดนโยบายของประเทศไทย ในการวางแผนและพัฒนาระบบการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ เพื่อส่งเสริมให้มีการติดตามการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นต่อไป
ในบทความต่อไป ผู้เขียนจะนำเสนอการทบทวนระบบติดตามการตลาดของสินค้าบริโภคที่มีผลต่อสุขภาพของประเทศไทย อันประกอบด้วย อาหาร สินค้าทดแทนนมแม่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาสูบ เพื่อเป็นอีกหนึ่งชุดข้อมูลความรู้ใน การสนับสนุนการสร้างระบบการติดตามการตลาดอาหารและเครื่องดื่มฯ ของประเทศไทย
หมายเหตุ บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยเรื่อง การติดตามการตลาดที่เกี่ยวข้องกับอาหารและเครื่องดื่มสำหรับเด็กและเยาวชน ผ่านสื่อโทรทัศน์ และยูทูป ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการวิจัยด้านอาหารและโภชนาการเพื่อการสนับสนุนการขับเคลื่อนงานด้านอาหารและโภชนาการในประเทศไทย โดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งได้รับทุนอุดหนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
เอกสารอ้างอิง
ปราโมทย์ ประสาทกุล
สิรินทร์ยา พูลเกิด
วรชัย ทองไทย
นงนุช จินดารัตนาภรณ์
สิรินทร์ยา พูลเกิด
ปราโมทย์ ประสาทกุล
สิรินทร์ยา พูลเกิด
วิภาพร จารุเรืองไพศาล
นงนุช จินดารัตนาภรณ์
สิรินทร์ยา พูลเกิด
วรชัย ทองไทย
สุพัตรา ฌานประภัสร์
ณัฐจีรา ทองเจริญชูพงศ์,สิรินทร์ยา พูลเกิด
วรชัย ทองไทย
ณัฐณิชา ลอยฟ้า
สิรินทร์ยา พูลเกิด
ปราโมทย์ ประสาทกุล
ปิยะวัฒน์ สวัสดิ์จู,สุภาณี ปลื้มเจริญ
วรรณี หุตะแพทย์
มนสิการ กาญจนะจิตรา
สุภรต์ จรัสสิทธิ์
ปรียา พลอยระย้า
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
เฉลิมพล แจ่มจันทร์
สุภรต์ จรัสสิทธิ์
กาญจนา เทียนลาย
กัญญา อภิพรชัยสกุล
ณัฐณิชา ลอยฟ้า
กัญญา อภิพรชัยสกุล
จงจิตต์ ฤทธิรงค์
พิชฌ์นิพัทธ์ วิชัยโน
ปราโมทย์ ประสาทกุล
กรกนก พงษ์ประดิษฐ์
ศิรินันท์ กิตติสุขสถิต
เฉลิมพล แจ่มจันทร์